เผ่าภูมิ ชี้น้ำท่วม-เปลี่ยนรัฐบาล ทำเศรษฐกิจไตรมาส 3 โตแค่ 2.6% แจกเงินดัน Q4

เผ่าภูมิ รมช.คลัง เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 โต 4.3% รับผล แจกเงินหมื่น-การบริโภค-ผลิตจักรยานยนต์-ส่งออก ขยายตัวดีขึ้น เตรียมเคาะเกณฑ์แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท 19 พ.ย.นี้ ลุ้นเสนอมาตรการแก้หนี้ หนุนประชาชนเข้าถึงสินเชื่อ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 4 ของปี’67 อยู่ที่ประมาณ 4.3-4.4% ขณะที่ไตรมาส 3 คาดว่าจะเติบโตที่ 2.6% เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น น้ำท่วมและการเปลี่ยนรัฐบาล

“แรงหนุนสำคัญที่ทำให้ไตรมาส 4 โตช่วงระหว่าง 4.3-4.4% เราเห็นจากปัจจัยบวกในหลาย ๆ ด้าน ในมิติเรื่องของการบริโภค ภาคอุตสาหกรรม ที่ปรับตัวดีขึ้น เช่นตัวเลขของการผลิตจักรยานยนต์ดีขี้น การส่งออกต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงที่สําคัญได้รับแรงหนุนจากการที่กระจายเม็ดเงิน 10,000 บาท ผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567 ให้สำหรับกลุ่มเปราะบาง” นายเผ่าภูมิกล่าว

สำหรับกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวที จ.อุดรธานี ว่าผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับเงินหมื่นในเร็ว ๆ นี้ ผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต เฟส 2 นายเผ่าภูมิกล่าวว่าอย่างไรก็ตาม ยังต้องนำเรื่องเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 พ.ย. 67 ก่อน ซึ่งต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ให้เหมาะสมที่สุด

ขณะที่ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” จะได้รับเงิน 10,000 บาทหรือไม่ นายเผ่าภูมิระบุว่า อยู่ที่ช่วงของความพร้อมต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของตัวระบบ งบประมาณ ทั้งนี้ทุกคนที่ลงทะเบียนแล้วผ่านเกณฑ์ก็จะได้รับเงินจํานวนนี้อย่างแน่นอน ส่วนช่วงเวลาไหนต้องดูตามโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ ว่าระยะเวลาไหนที่จะเหมาะสมที่จะเข้าไปช่วยในเรื่องของเศรษฐกิจและเกิดประโยชน์ได้สูงสุด

นายเผ่าภูมิกล่าวอีกว่า ในการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ กระทรวงการคลังเตรียมที่จะเสนอเรื่องของการดูแลเรื่องหนี้ครัวเรือน ก็เป็นเรื่องที่สําคัญ เรื่องของภาคอุตสาหกรรมบางภาคที่ยังไม่ค่อยฟื้นดี การเข้าไปดูเรื่องของการเข้าถึงสินเชื่อของพี่น้องประชาชนโดยการใช้ข้อมูลชนิดใหม่ ๆ

ส่วนเรื่องค่าเงินบาทขณะนี้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ซึ่งคลังมองว่า 34.5-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเป็นระดับค่าเงินที่เหมาะกับการส่งออกของประเทศไทย และสามารถแข่งขันได้กับอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศเพื่อนบ้าน ที่สำคัญกว่านั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบและดูแลไม่ให้เกิดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมาก