“ทรัมป์” ทุบทองราคาดิ่ง จบรอบขาขึ้นใหญ่ “ติดดอย” รอปีหน้า

trumpGOLD “ทรัมป์” ทุบทองราคาดิ่ง จบรอบขาขึ้นใหญ่ “ติดดอย” รอปีหน้า

หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐสิ้นสุดลง หลายสินย์ทรัพย์ค่อนข้างผันผวน ไม่เว้นแม้แต่ “ทองคำ” ที่หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” คว้าชัยชนะได้เป็นประธานาธิบดีรอบ 2 หรือประธานาธิบดีคนที่ 47 ก็พบว่าราคาทองคำปรับตัวร่วงลงแรงต่อเนื่อง จากที่ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ต้นปี 2567 มา ทองคำเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด

ทรัมป์มา ดอลลาร์แข็งฉุดทองร่วง

โดย “ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ราคาทองคำเริ่มปรับตัวลดลง ภายหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ประกอบกับปีนี้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 30% จึงมีการปรับฐานลง

“ชัยชนะของทรัมป์ทำให้ภาพเศรษฐกิจของสหรัฐมีความคาดหวังว่าจะดีขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และทำให้ทองคำตกลงมาค่อนข้างแรง แต่สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้ คือหลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. 2568 การทำงานใน 100 วันแรก ผลงานจะออกมาเป็นลักษณะอย่างไร”

ทั้งนี้ จากสถิติเวลาพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง โดยส่วนใหญ่ราคาทองจะปรับตัวลงประมาณ 5% ซึ่งเทียบกับ Gold Spot จะอยู่ประมาณ 2,500 ดอลลาร์ จึงมองว่าแนวรับน่าจะอยู่ที่กรอบบริเวณดังกล่าวได้ แต่บังเอิญช่วงที่ทรัมป์เข้ามาสมัยแรก ราคาทองคำปรับตัวลงถึงประมาณ 11% ซึ่งหากเทียบราคาจะลงได้ถึง 2,350 ดอลลาร์ แต่ยังเชื่อว่าน่าจะยังอยู่ที่แนวรับ 2,500 ดอลลาร์ได้

“มองว่า 2,500 ดอลลาร์ยืนได้ และราคาทองคำในประเทศ 42,000 บาท น่าจะเป็นจุดที่ดี สำหรับนักลงทุนที่มองว่ายังอยากซื้อทองเพื่อเก็บสะสม และสินทรัพย์ทองคำยังเป็นส่วนหนึ่งที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ดี”

ทองลงต่อเนื่องนักลงทุนชะลอซื้อ

“ธนรัชต์” กล่าวว่า สำหรับพฤติกรรมนักลงทุนช่วงนี้ จากที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่คนให้ความสนใจในปีที่ผ่านมา พบว่าราคาปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 45 ปี จากราคาที่ปรับขึ้นกว่า 30% โดยที่ผ่านมา ช่วงที่ราคาทองคำปรับขึ้นต่อเนื่อง ก็มีนักลงทุนเข้ามาซื้อค่อนข้างมาก จากที่มองว่าราคาจะปรับขึ้นต่อระยะยาว แต่หลังจากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ราคาปรับลดลง ทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อลง

ADVERTISMENT

ฟินโนมีนา ชี้ จบรอบขาขึ้นใหญ่

ขณะที่ “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า ข้อมูลจาก fed fund future ของ CME Group คาดการณ์ว่าปี 2568 การลดดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครึ่งปีแรกจะเหลือเพียง 1 ครั้ง สะท้อนว่าภายใต้นโยบายของทรัมป์ อาจจะทำให้เงินเฟ้อลงไม่ได้

ทำให้ดอกเบี้ยอาจลงช้า ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) สหรัฐจะค้างอยู่ที่เดิม และ Real Yield (อัตราดอกเบี้ยแท้จริง) อาจกลับมาเป็นบวก ซึ่งจะทำให้ทองคำเสียประโยชน์
โดยราคาทองคำที่หลุดลงมาต่ำกว่า 2,560 ดอลลาร์ เป็นสัญญาณที่เป็นไปได้ยากที่ราคาทองคำจะปรับขึ้นไปถึง 3,000 ดอลลาร์ และคาดว่าอาจจะจบรอบขาขึ้นใหญ่ ทั้งนี้ มองว่าทองอาจจะลงไปอยู่แถว ๆ แนวรับประมาณ 2,200 ดอลลาร์

ADVERTISMENT

กราฟฟิก ทอง

“ต้องยอมรับว่าทองคำวิ่งขึ้นมาแรงมาก ดังนั้น ตอนปรับฐานอาจจะลงลึกมากกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด แต่เชื่อว่าระยะยาวราคาทองคำยังปรับขึ้นไปได้แน่นอน จากที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังสนใจการสะสมทองคำ และยุคทรัมป์อาจจะไม่ได้ยกเลิกการทำสงครามได้หมด จึงแนะนำช่วงนี้ หากถือมาไกลมากตั้งแต่ 2,000 ดอลลาร์ แนะนำขายทำกำไร แล้วค่อยรอจังหวะย่อเข้าซื้ออีกครั้ง”

ติดดอยถือยาวลุ้นหลุดปีหน้า

ด้าน “ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำในระยะสั้นยังเป็นทิศทางขาลง จากที่ทองคำเริ่มมีแรงเทขายออกมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น แนะนำนักลงทุนช่วงนี้ หากสามารถถือยาวได้ เป็นจังหวะที่ซื้อเก็บไว้

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวทิศทางราคาทองคำยังเป็นเทรนด์ขาขึ้นอยู่ อาจจะต้องรอให้ทองคำสามารถสร้างฐานได้ อาจจะเป็นช่วงเดือน ธ.ค. 2567

สำหรับนักลงทุนที่ติดดอยในราคาที่สูง อาจต้องรอลุ้นปีหน้า (2568) หลังจากเฟดเริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงติดตามนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์ที่ประกาศออกมา ช่วงแรกอาจจะส่งผลเชิงลบต่อราคาทองคำ แต่ในปี 2568 อาจเริ่มมีทิศทาง หรือนโยบายที่จะเกิดสงครามใหม่ขึ้นได้

“เราประเมินราคาทอง Spot ปี 2568 อยู่ที่ 2,800-2,860 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่หากเกิดสงครามใหม่ขึ้น ราคาทองคำจะสามารถแตะระดับ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้”