สศช.ชง 5 ข้อบริหารเศรษฐกิจ เร่งรับมือนโยบาย “ทรัมป์” ฉุดจีดีพี

ดนุชา พิชยนันท์
ดนุชา พิชยนันท์

“ปีหน้า (2568) ความเสี่ยงต่าง ๆ น่าจะมีมากขึ้น ฉะนั้นการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ คงต้องมีการพุ่งเป้ามากขึ้น” นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2567 และแนวโน้มปี 2567-2568 ล่าสุด

Q3 โตดีกว่าคาด-ทั้งปี 2.6%

โดยในการแถลงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2567 เลขาธิการ สศช.ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัวได้ 3% ต่อปี เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 2.2% ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนแรก เศรษฐกิจขยายตัวได้ 2.3% ทำให้ สศช.ปรับประมาณการอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2567 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 2.6% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ 1.9%

“การที่ไตรมาส 3 ขยายตัวได้ดีกว่าที่มีการคาดการณ์กัน หลัก ๆ จะมาจากการลงทุนที่เร่งขึ้น ขณะเดียวกันการผลิตในภาคต่าง ๆ ยังคงขยายตัวได้อยู่ อีกส่วนคือ ฐาน ที่มีผลส่วนหนึ่งในการคำนวณจีดีพีไตรมาส 3 นี้ด้วย รวมถึงการส่งออกด้วยที่ขยายตัวได้ดีมาก”

น้ำท่วมกระทบ 6 หมื่นล้าน

สำหรับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม คาดว่าจะอยู่ที่ 0.3% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 60,000 ล้านบาท โดยน้ำท่วมรอบนี้ไม่ได้กระทบพื้นที่เกษตรและภาคอุตสาหกรรมมากเท่ากับปี 2554 ที่นิคมอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากรอบนี้ผลกระทบอยู่ในภาคครัวเรือนและการค้าชายแดนเป็นหลัก

นอกจากนี้ เงินจากภาครัฐที่ใช้จ่ายไปเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบก็สะท้อนกลับมาในจีดีพีอีกที ในแง่ของภาคก่อสร้าง การลงทุน และการซ่อมแซม จึงไม่ได้เห็นผลกระทบมากเท่าที่คาด

“ผลกระทบจริง ๆ จากเหตุน้ำท่วมอยู่ที่ภาครัฐมากกว่าที่ต้องจัดสรรงบประมาณมาจัดการเหตุเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ หากไม่มีการบริหารหรือป้องกันให้ดีขึ้น โดยภาระดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าราว 40,000-50,000 ล้านบาทต่อปี”

ADVERTISMENT

ปีหน้าเผชิญความเสี่ยง “ทรัมป์”

นายดนุชากล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.3-3.3% ต่อปี (ค่ากลางที่ 2.8%) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ 2) การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ 3) การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และ 4) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า

ทั้งนี้ ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะเกิดความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในสหรัฐ โดยเฉพาะเรื่องการกีดกันทางการค้า และสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังดำรงอยู่ ซึ่งสมัย “ทรัมป์ 2” อาจจะต่างจากสมัย “ทรัมป์ 1” ดังนั้น หน่วยงานของรัฐจะต้องรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐที่จะออกมาด้วย

ADVERTISMENT

“ผลกระทบคงขึ้นอยู่กับความรุนแรงของมาตรการจากสหรัฐที่จะออกมา และต้องดูในรายละเอียดอีกครั้งว่า สินค้าประเภทไหนจะได้รับผลกระทบ ซึ่งแน่นอนว่าจะสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจโลก และอัตราแลกเปลี่ยนในปีหน้า รวมทั้งปัญหาการทุ่มตลาดของสินค้าจีน ทำให้เอสเอ็มอีไทยได้รับผลกระทบ”

หนี้ครัวเรือนปี’68 ยังอยู่ระดับสูง

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยคุณภาพสินเชื่อปรับตัวลดลง ส่งผลให้สถาบันการเงินเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อมากขึ้นและมูลค่าสินเชื่อชะลอลง

“หนี้ครัวเรือนปีหน้า ผมคิดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ เพราะหนี้ครัวเรือนเวลาเกิดขึ้นแล้ว ลดยาก ก็ต้องดูว่ามาตรการที่จะออกมาช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนจะเอฟเฟ็กทีฟมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่ทำกันอยู่ตอนนี้ก็คาดว่าจะช่วยได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว”

อีกด้านคือ ความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคการเกษตร ทั้งผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของผลผลิต ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรลดลง ท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตข้าวจากผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น

5 ข้อเสนอแนะบริหารเศรษฐกิจ

นายดนุชากล่าวว่า การบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ในช่วงที่เหลือของปี 2567 และปี 2568 ควรให้ความสำคัญกับ 5 เรื่อง ดังนี้ เรื่องแรก การขับเคลื่อนภาคการส่งออกให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือผลกระทบจากการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น

เรื่องที่ 2 ปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยมุ่งเน้นปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น และเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้า รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างความร่วมมือในการจัดทำความตกลงยอมรับร่วมด้านมาตรฐานระหว่างประเทศ และการเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ที่นำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน

ขณะเดียวกัน ต้องยกระดับมาตรการกำกับดูแลผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศ โดยเร่งรัดให้ผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศต้องจดทะเบียนนิติบุคคลและมีสำนักงานในไทยเพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแล

การเพิ่มจำนวนรายการสินค้าควบคุมภายใต้มาตรฐานบังคับเพื่อให้ครอบคลุมรายการสินค้าที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศ รวมถึงการเร่งรัดปรับปรุงกฎหมายภาษีสำหรับผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ และแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่จำหน่ายสินค้าในไทย

นอกจากนี้ ต้องมีการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาด รวมทั้งการใช้มาตรการและวิธีการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย หลบเลี่ยงภาษี หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ

เรื่องที่ 3 ขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ โดยอาศัยประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานในการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการย้ายฐานการลงทุนของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตขยายการผลิตในประเทศไทย

ขณะเดียวกัน ต้องมีการเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2565-2567 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว เพื่อช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่มีศักยภาพ เร่งรัดโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้

รวมถึงมีการพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง

“การลงทุนของรัฐจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า อาจจะต้องมีการดูแลทั้งในเรื่องเร่งรัดการเบิกจ่ายลงทุน และการจัดทำแผนลงทุนเพิ่มเติม ในส่วนที่จะช่วยให้เกิดการกระตุ้นไปที่ภาคการผลิตของไทย

โดยเฉพาะภาคก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคงต้องมาดูว่าจะต้องเตรียมในลักษณะไหน อย่างไรก็ตาม คงต้องมีการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ตอนนี้ ว่าแนวโน้มมาตรการจะออกมา ทั้งช่วงเวลาไหน และความหนักเบา”

เลขาธิการ สศช.กล่าวอีกว่า เรื่องที่ 4 การดูแลเกษตรกรและสนับสนุนการปรับตัวในการผลิตภาคเกษตร โดยให้ความสำคัญกับ 1) การเร่งรัดติดตามสำรวจความเสียหายเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาถึงมือเกษตรกรโดยเร็ว

2) เตรียมการรองรับความผันผวนของสภาพดินฟ้าอากาศในช่วงปรากฏการณ์ลานีญาที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคเกษตร โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ควบคู่ไปกับการยกระดับประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเตือนภัย

3) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปให้ขยายตัวสูงต่อเนื่องจากปี 2567 เพื่อสนับสนุนให้ราคาสินค้าเกษตรในประเทศปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

และ 4) การสร้างความรู้ความเข้าใจและส่งเสริมการปลูกพืชและใช้วิธีการผลิตที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตที่มีมูลค่าสูง

และเรื่องที่ 5 การให้ความช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อปรับลดลงต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ SMEs ควบคู่ไปกับการยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการ

ขณะเดียวกันควรเร่งรัดดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีวงเงินสินเชื่อไม่สูงมากนัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับสูง

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยดูจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มีมากขึ้น ดังนั้นการเตรียมการรับมือแต่เนิ่น ๆ ย่อมมีความจำเป็นอย่างยิ่ง