คปภ. ปรับเกณฑ์ลงทุนคุม “ธุรกิจประกันแบบรวมกลุ่ม” หลังแห่ตั้งโฮลดิ้ง

ชูฉัตร ประมูลผล

คปภ.จ่อออกประกาศเกณฑ์ลงทุนของ “ธุรกิจประกันภัย” ใหม่ เตรียมใช้การ “กำกับแบบรวมกลุ่ม” ชี้ลงทุนเกิน 20% มีอำนาจควบคุม-ต้องกำกับดูแลบริษัทลูกด้วย ขณะที่กรณีตั้งโฮลดิ้ง ถือหุ้นไขว้-ซับซ้อน ขีดเส้นทั้งกลุ่มลงทุนรวมกันไม่เกิน 25% ของเงินกองทุน คาดออกประกาศบังคับใช้ได้ไตรมาส 4/68 พร้อมประเมินปีนี้เบี้ยทั้งระบบโต 2.7% ปีหน้าคาดโต 3.96% เบี้ยแตะ 9.8 แสนล้าน มั่นใจเบี้ยทะลุ 1 ล้านล้าน ภายในไตรมาส 2/69

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าแนวทางการดำเนินการกำกับธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม (Group-wide Supervision) ของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ล่าสุดได้เสนอร่างหลักการต่อที่ประชุมคณะกรรมการ คปภ. แล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจประกันภัย จนถึงวันที่ 29 พ.ย.นี้ และคาดว่าประกาศจะมีผลบังคับใช้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2568 เป็นต้นไป

ชูฉัตร ประมูลผล
ชูฉัตร ประมูลผล

โดยเกณฑ์กำกับ จะแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรก “Solo Consolidation” และเฟสสอง “Full Consolidation” เบื้องต้นจะกำกับดูแลระดับ Solo Consolidation ก่อน โดยเมื่อใดก็ตามที่บริษัทประกันภัย เข้าไปลงทุนถือหุ้นในนิติบุคคลอื่น เพื่อประกอบธุรกิจอื่น ตั้งแต่ 20% ขึ้นไปของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น และมีอำนาจในการควบคุม คปภ.จะถือว่านิติบุคคลที่บริษัทประกันภัยเข้าไปถือหุ้น เป็นบริษัทลูก

ซึ่งเข้าข่ายต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ Group-wide บริษัทประกันภัยนั้น ๆ จะต้องกำกับดูแลบริษัทลูกด้วย เช่น มีกรรมการและผู้มีอำนาจจัดการ มีการจัดการเรื่องธรรมาภิบาล มีการควบคุมภายใน และมีการบริหารความเสี่ยงด้วย

“ปัจจุบันนี้มีมากกว่า 10 บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมปะนี (Holding Company) และยังมีเข้ามาปรึกษาหารือกับ คปภ.อีกหลายบริษัท ซึ่งพบว่าที่ผ่านมามีการถือหุ้นไขว้กันกว่า 8 รูปแบบ ค่อนข้างมีความซับซ้อน มีการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทประกันภัย บริษัทแม่ บริษัทลูก บริษัทร่วม หรือกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการถือตราสารทุน ตราสารหนี้ เงินให้กู้ยืม ฯลฯ”

ดังนั้น คปภ. จะกำหนดว่าธุรกรรมการลงทุนทั้งหมดที่ดำเนินการในกลุ่มธุรกิจรวมกันได้ไม่เกิน 25% ของเงินกองทุน หรือไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า เพราะไม่ต้องการให้ไปอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกันหมด นอกจากนี้ยังกำหนดให้ต้องรายงานธุรกรรมระหว่างกันภายใน 72 ชั่วโมง หรือเมื่อเกิดธุรกรรมโดยเร็ว

ADVERTISMENT

คปภ. ต้องเร่งออกมาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด เพราะมองว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญและน่ากังวลในปีหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำตัวเป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ โดยจะส่งเสริมเรื่องนี้สำหรับบริษัทประกันที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อผลักดันให้บริษัทประกันภัยในประเทศไทยมีขนาดใหญ่โตยิ่งขึ้น เหมือนกับในต่างประเทศที่ธุรกิจประกันภัยมักมีขนาดใหญ่กว่าธุรกิจธนาคาร แต่ก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ตามประกาศลงทุน คปภ. ในปัจจุบัน กำหนดว่าบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย จะถือหุ้นในนิติบุคคลอื่นได้ไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และจะถือหุ้นตั้งแต่ 20% ตามเกณฑ์การประกอบธุรกิจอื่นที่ คปภ. ประกาศกำหนดเท่านั้น เช่น สถานพยาบาล, กิจการผู้สูงอายุ, อินชัวร์เทค หรือกิจการที่มีผลประโยชน์ต่อธุรกิจประกันภัยโดยรวม เป็นต้น

ADVERTISMENT

ในช่วงที่ผ่านมา คปภ. ได้มีการศึกษาแนวทางในต่างประเทศต่อการกำกับ Group-wide ซึ่งมีเกณฑ์ใช้มานานกว่า 10 ปีแล้ว หน่วยงานกำกับส่วนใหญ่จะเปิดให้บริษัทประกัน ที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน ลงทุนได้เกิน 20% เฉพาะธุรกิจที่หน่วยงานกำกับมองเห็นความเสี่ยงทั้งหมด เช่น เป็นธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลที่ดี, มีผลประกอบการที่ดี เป็นต้น ถ้าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงก็จะให้มีการชาร์จเงินกองทุนระหว่างกลุ่มเพิ่ม จากปัจจุบันเกณฑ์ลงทุน คปภ. มีการกำหนดค่าความเสี่ยง (Risk Charge) สำหรับบริษัทประกันภัยในการลงทุนสินทรัพย์แต่ละประเภทตามระดับความเสี่ยงอยู่แล้ว

ซึ่งการชาร์จเงินกองทุนระหว่างกลุ่มนั้น เวลานี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะกำหนดกรอบอยู่ที่ระดับไหน เพราะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการคำนวณออกมาก่อน ซึ่งมีโมเดลจากทั้งอเมริกาและฮ่องกงที่มีความแตกต่างกันอยู่ให้เป็นแนวทางพิจารณา

เลขาธิการ คปภ.กล่าวอีกว่า ปี 2567 คปภ.คาดการณ์เบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งระบบ จะอยู่ที่ 942,944 ล้านบาท เติบโต 2.70% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ล้อตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย โดยมาจากธุรกิจประกันชีวิต 653,516 ล้านบาท เติบโต 3.21% และธุรกิจประกันวินาศภัย 289,428 ล้านบาท เติบโต 1.58%

ส่วนปี 2568 คาดการณ์จีดีพีไทยจะเติบโตกว่า 3% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดการณ์เบี้ยรับรวมในปีหน้าจะโต 3.96% ที่ 980,312 ล้านบาท จากประกันชีวิต 678,522 ล้านบาท เติบโต 3.83% และประกันวินาศภัย 301,789 ล้านบาท เติบโต 4.27%

“คาดหวังว่าในไตรมาส 2 ปี 2569 เบี้ยรับรวมจะแตะ 1 ล้านล้านบาทได้ สำหรับปีนี้ ถือว่าพอใจ โดยเบี้ยประกันสุขภาพเป็นพอร์ตสำคัญ เพราะเบี้ยสูงกว่าแสนล้านบาทไปแล้ว และที่ผ่านมา ก็ได้แก้ปัญหาเรื่องเคลมสูงและค่ารักษาแพง โดยกำหนดเกณฑ์ให้ผู้เอาประกันมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment)” เลขาธิการ คปภ.