บอกลาปีที่ดีตลาดหุ้น เตรียมรับมือความผันผวน

exchange-monitor
คอลัมน์ : สถานีลงทุน
ผู้เขียน : คมศร ประกอบผล TISCO ESU

ปี 2024 นับเป็นปีที่ดีมากอีกปีหนึ่งของตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ ที่ปรับตัวขึ้นถึง 25% และไม่มีการปรับฐานใหญ่เกินกว่า 10% แม้แต่ครั้งเดียว ท่ามกลางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีกว่าคาด

ซึ่งทำให้ความกังวลต่อประเด็นเศรษฐกิจถดถอยลดลงอย่างมาก ในขณะที่เงินเฟ้อก็มีแนวโน้มชะลอลงกลับสู่เป้าหมาย และทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกสามารถปรับลดดอกเบี้ยลงได้ เศรษฐกิจที่โตดีกว่าคาดและนโยบายการเงินที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลง เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทั้งด้านกำไร และ Valuation ของตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีที่กำลังจะผ่านไป

ส่วนในปี 2025 คาดว่าจะเป็นปีที่ตลาดผันผวนมากขึ้น จากทั้งนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 47 ที่คาดเดาได้ยาก ส่งผลต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นวงกว้าง

รวมถึงความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของราคาสินค้า ท่ามกลางมาตรการกีดกันการค้าและการตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กันของหลายประเทศ ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีทิศทางชะลอตัวลงทั่วโลก ด้านตลาดหุ้นก็ซื้อขายอยู่ในกรอบ Valuation ที่แพง ประกอบกับบอนด์ยีลด์ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันทำให้อัพไซด์ของตลาดมีจำกัด และความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานแรงมีมากขึ้น ซึ่งทำให้การลงทุนในปีหน้ามีความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ดี เรามองว่ายังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากทั้งภาพเศรษฐกิจและแนวโน้มนโยบายในปีหน้า เช่น หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) ในสหรัฐ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์มากที่สุด เนื่องจากกลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) เป็นกลุ่มที่ผลกำไรจะถูกปรับขึ้นสูงราว +5% จากการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล

โดยกำไรของภาคธนาคารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างดอกเบี้ย (Interest Margin) โดยทิศทางเงินเฟ้อซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariffs) จะเป็นแรงผลักดันให้ Bond Yield อายุยาว ทรงตัวอยู่ในระดับสูง เมื่อ Bond Yield ระยะยาว ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อระยะยาว และเป็นรายได้หลักของธนาคารปรับเพิ่มขึ้น

ADVERTISMENT

ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินฝากระยะสั้น ซึ่งเปรียบเสมือนต้นทุนในการกู้ยืมของธนาคาร ทรงตัวในระดับต่ำ ส่วนต่างดอกเบี้ยที่กว้างขึ้น จะสะท้อนความสามารถในการสร้างกำไรจากการให้กู้ยืมที่มากขึ้น

นอกจากนั้น ทรัมป์ยังมีนโยบายสนับสนุนการลดกฎระเบียบในสถาบันการเงิน (Bank Deregulation) ยกตัวอย่างเช่น ความเป็นไปได้ที่จะผ่อนคลายข้อกำหนดด้านเงินทุนชุดสุดท้ายของ Basel III หรือที่เรียกกันว่า “Basel III Endgame”

ADVERTISMENT

ซึ่งปัจจุบันมีกำหนดเริ่มบังคับใช้ในช่วงกลางปี 2025 โดยคาดว่าจะมีการปรับขึ้นสัดส่วนเงินทุนขั้นต่ำ (Minimum Capital Requirements) ของธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินเกินกว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แนวโน้มการออกกฎระเบียบที่อาจไม่ได้เข้มงวดมากเหมือนที่ผ่านมา จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการปล่อยกู้ (Bank Lending Capacity) ของภาคธนาคารในระยะข้างหน้า

ขณะที่ความเสี่ยงประเด็นกำแพงภาษีนั้น มีข้อจำกัด โดยกลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) มีรายได้จากต่างประเทศคิดสัดส่วนเพียง 28% น้อยกว่าเฉลี่ยของบริษัทใน S&P 500 ที่ 41% ซึ่งทำให้ผลกระทบต่อการตั้งกำแพงภาษีตอบโต้จากต่างชาตินั้นมีจำกัด