ส่องมุมมองลงทุนหุ้นแบงก์ หลังนายกฯสั่งแก้หนี้-พักดอกเบี้ย 3 ปี

Stock Market

บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์ผลกระทบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังนายกฯอิ๊งค์ ประชุมบอร์ดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ชูแก้หนี้ครัวเรือน เน้น “SMEs-บ้าน-รถยนต์” และพักดอกเบี้ย 3 ปี พร้อมมุมมองลงทุนหุ้นแบงก์ ชู TISCO-SCB เด่นสุด สาเหตุเพราะ ?

นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า วานนี้จากการประชุมบอร์ดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ กล่าวถึงการแก้หนี้ โดยหลักเน้นไปที่ SMEs, บ้าน และรถยนต์ ในกลุ่มที่มีปัญหาไม่เกิน 1 ปี มูลหนี้รวมประมาณ 1.2-1.3 ล้านล้านบาท ผ่านการลดภาระคือ พักดอกเบี้ย 3 ปี และเงินต้นทำผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ โดยดอกเบี้ยที่ถูกตั้งพักไว้ หากลูกหนี้ชำระได้ดีต่อเนื่อง 5-10 ปี จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยส่วนที่พักไว้

ความเห็นฝ่ายวิจัยมองกลางแม้ NIM มีโอกาสได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างหนี้ แต่ชดเชยได้กับประโยชน์ด้านคุณภาพสินทรัพย์ จากสินเชื่อ Stage 2 ไหลตกชั้นเป็น NPL ช้าลง โดยสาระของแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ข้างต้น ไม่ได้แตกต่างจากข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ ด้านการชดเชยผลกระทบจากทางการยังต้องรอความชัดเจนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อไป (ตลาดคาดเป็นการลดเงินนำส่ง FIDF)

สำหรับผลทางบัญชี แบ่งเป็นการพักดอกเบี้ย แม้ทางบัญชีตามหลักดอกเบี้ยเฉลี่ยตลอดอายุสัญญา (EIR) ของ TFRS 9 ทำให้ธนาคารพาณิชย์ยังรับรู้ดอกเบี้ยทางบัญชีในงบกำไรขาดทุน แต่ต้องแลกกับรายการดอกเบี้ยค้างรับ (บันทึกในงบดุล) มีโอกาสปรับขึ้น (ขึ้นอยู่กับรัฐบาลชดเชยมากน้อยเพียงใด) ซึ่งการยกเว้นดอกเบี้ยที่ถูกพักไว้หากลูกหนี้ปฏิบัติตามเงื่อนไข เบื้องต้นมองว่าอิงตามกรอบระยะเวลาที่ลูกหนี้ต้องชำระติดต่อกัน 5-10 ปี ทำให้หากมีการ Waive ดอกเบี้ยให้ยังไม่ส่งผลต่อประมาณการกำไรปี 2568-2570

ส่วนการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดค่างวด ผ่านการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระประเมินกดดันต่อ NIM ซึ่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ขึ้นอยู่กับมูลหนี้เข้าร่วมมาตรการ โดยเฉพาะจากมูลหนี้ Stage 2 (ดอกเบี้ยรับของสินเชื่อ NPL ทาง ธปท. ให้ธนาคารพาณิชย์มีการตั้ง ECL เท่ากับดอกเบี้ยจากสินเชื่อ NPL ที่รับรู้ จึงไม่มีผลต่อกำไรสุทธิ)

เบื้องต้นหากมีดาวน์ไซด์จาก NIM เพราะการปรับโครงสร้างหนี้ ไม่น่ากระทบต่อกำไรเกิน 5% (ยังไม่รวมผลบวกจาก Credit Cost ที่ลดลง) สะท้อนจาก Sensitivity Analysis ทุก 0.1% ของ NIM (เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ที่ลดลง จะส่งผลต่อกำไรสุทธิกลุ่มราว 5% ภาพข้างต้นมองว่า NIM ของธนาคารพาณิชย์ที่มีสัดส่วนลูกค้า SMEs และรายย่อยสูงจะมีแรงกดดันจาก NIM มากกว่า

ADVERTISMENT

มุมมองต่อการลงทุนหุ้นในกลุ่มธนาคาร ประเด็นข้างต้นไม่ใช่เรื่องใหม่ คาดราคาหุ้นได้เริ่มสะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปบ้างแล้ว ส่วนแรงขับเคลื่อนราคาหุ้นระยะถัดไป แม้ภาพเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ยังขาดความต่อเนื่อง ทำให้หุ้นยังต้องรอแรงขับ แต่อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ราว 5-8% (ค่าเฉลี่ยดัชนี SET ราว 3%) ถือว่าจูงใจ โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ให้ Dividend Yield สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม ชอบ TISCO, SCB มากกว่า TTB, KKP จาก Dividend Yield และ ROE สูงกว่า

ADVERTISMENT

ในขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าปีนี้ระดับ Dividend Yield ยังไม่เท่ากลุ่มข้างต้น ชอบ BBL, KTB มากกว่า KBANK เพราะสัดส่วนสินเชื่อ SMEs น้อยกว่า (มองเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลจากการกีดกันทางการค้ามากกว่าลูกค้าประเภทอื่น) และทิศทางเศรษฐกิจไทยที่ถูกขับเคลื่อนด้วยการลงทุนภาครัฐ น่าจะดีต่อพอร์ตสินเชื่อรายใหญ่และรัฐบาลของทั้ง BBL และ KTB