ดัชนีดอลลาร์ปรับย่อตัวเล็กน้อย เหตุทองคำพุ่ง กังวลสงคราม

dollar

ดัชนีดอลลาร์ปรับย่อตัวเล็กน้อย เหตุราคาทองคำพุ่ง กังวลสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (20/11) ที่ระดับ 34.52/53 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (19/11) ที่ระดับ 34.59/9 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา (19/11) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 3.1% สู่ระดับ 1.31 ล้านยูนิตในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.34 ล้านยูนิต จากระดับ 1.35 ล้านยูนิตในเดือน ก.ย.

โดยได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนเฮลีน และมิลตัน ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 0.6% สู่รดับ 1.41 ล้านยูนิตในเดือน ต.ค. และต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 1.44 ล้านยูนิต จากระดับ 1.42 ล้านยูนิตในเดือน ก.ย.

นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.6% ในไตรมาส 4/2567 ทั้งนี้ เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งต่อไปในวันที่ 27 พ.ย. และในวันศุกร์นี้ (22/11) นักลงทุนจับตาดูดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการเดือน พ.ย.

ด้านปัจจัยภายในประเทศ เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย หลังราคาทองคำพุ่ง ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยที่ประกาศออกมาวานนี้นั้น มีผลต่อตลาดในวงจำกัด

โดยวานนี้ (19/11) คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก เคาะเดินหน้าแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ราว 3-4 ล้านคน โดยเป็นการแจกเงินสดเหมือนเฟสแรก คาดใช้วงเงินราว 40,000 ล้านบาท ได้เงินไม่เกินตรุษจีนปี’68 ส่วนเฟสถัดไปคาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือน เม.ย.-มิ.ย. 68 เนื่องจากต้องรอทบทวนรายละเอียด และรอระบบพร้อม

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ ยังเห็นชอบหลักการปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนใน 3 กลุ่ม ได้แก่ บ้าน รถยนต์ และหนี้เพื่อการบริโภค โดยให้มีการพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี เพื่อบรรเทาภาระในช่วงแก้ไขปัญหา และด้านนายกรัฐมนตรีของไทย ระบุว่าพอใจตัวเลข GDP ไตรมาส 3/67 ที่ขยายตัว 3% และคาดว่าทั้งปี’67 จะขยายตัว 2.6% ถือเป็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยว

แต่การลงทุนภาคเอกชนยังต้องเพิ่มได้อีก จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปเร่งหามาตรการเพื่อช่วยการลงทุนภาคเอกชนให้มากขึ้น เพื่อทำให้ GDP ขยับมากขึ้น ทั้งนี้ในระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 34.66-34.90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.70/71 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ADVERTISMENT

สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดเช้าวันนี้ (20/11) ที่ระดับ 1.0598/0601 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (19/11) ที่ระดับ 1.0550/0551 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยวันนี้ (20/11) สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยข้อมูลว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสินค้าอุตสาหกรรมในเยอรมนีลดลง 1.1% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่ลดลง 1.4% ในเดือน ก.ย.

ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เมื่อเทียบเป็นรายเดือน โดยดัชนี PPI ของเยอรมนีในเดือน ต.ค.เพิ่มขึ้น 0.2% ตามที่คาดการณ์ไว้ พลิกกลับจากที่ลดลง 0.5% ในเดือน ก.ย. ทั้งนี้ในระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.0579-1.0609 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0561/62 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (20/11) ที่ระดับ 153.73/74 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (19/11) ที่ระดับ 54.90/95 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (20/11) ว่า ยอดส่งออกพุ่งขึ้น 3.1% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.2% และฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่หดตัว 1.7% ในเดือน ก.ย. ยอดส่งออกเดือน ต.ค.ของญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากความต้องการอุปกรณ์ชิปที่ฟื้นตัวในจีน และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์ทั่วโลกที่แข็งแกร่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งยังคงฟื้นตัวอย่างเปราะบาง

ส่วนยอดนำเข้าปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะลดลง 0.3% ส่งผลให้ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้าอยู่ที่ 4.612 แสนล้านเยน (2.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือน ต.ค. เทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขาดดุล 3.604 แสนล้านเยน โดยข้อมูลของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นยังระบุด้วยว่า ยอดส่งออกไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี

ขณะที่ยอดส่งออกไปยังสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ลดลง 6.2% และสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า แม้ข้อมูลในเดือน ต.ค. มีความแข็งแกร่ง แต่ยอดส่งออกของญี่ปุ่นอาจจะเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐ

นายชุนสุเกะ โคบายาชิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท มิซูโฮ ซิเคียวริตีส์ (Mizuho Securities) คาดการณ์ว่า การที่รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ มีแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทในอัตรา 10% นั้น จะฉุดตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่นลดลง 0.13% และตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นจะลดลงอีก 0.12% หากการเรียกเก็บภาษีสินค้าที่ผลิตโดยจีนในอัตรา 60% ส่งผลให้จีนออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ

ทั้งนี้ ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 154.54-155.55 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 154.63/64 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ของสหรัฐ ได้แก่ สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ (20/11), จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (21/11), ดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟียเดือน พ.ย. (21/11), ยอดขายบ้านมือสองเดือน ต.ค. (Existing Home Sales) (21/11), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการเดือน พ.ย. (PMI) (22/11)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7.40/-7.10 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ 5.8/-4.50 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ