
ดอลลาร์ปรับตัวในกรอบ จับตาดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขณะที่นักลงทุนให้น้ำหนักลดลงเหลือ 55.7% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคม หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งและมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ (21/11) ที่ระดับ 34.61/62 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (20/11) ที่ระดับ 34.68/69 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
โดยดอลลาร์ลดแรงบวกลงเทียบเงินสกุลหลัก หลัง Dollar Index ปรับตัวลดลงที่ระดับ 106.64 โดยดอลลาร์ฟื้นตัวในช่วงแรกหลังจากการที่นักลงทุนกลับมาช้อนซื้อหลังดอลลาร์อ่อนค่าลงติดต่อกัน 2 วันทำการ ก่อนที่ดอลลาร์จะลดแรงบวกลงภายหลังจากราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน หลังมีข่าวการอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากสถานทูตสหรัฐ ในกรุงเคียฟของยูเครน
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ เมื่อคืนที่ผ่านมาสมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA0 ของสหรัฐ ได้มีการเปิดเผยจำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 1.7% ในสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองจะปรับตัวขึ้น และในส่วนของจำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์เพิ่มขึ้น 2% ในสัปดาห์ที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้เปิดเผยว่าสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 545,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 400,000 บาร์เรล
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนั้น ขณะนี้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักต่อการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. หลังมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง
โดยขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 55.7% ต่อการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. ซึ่งลดลงจากที่ให้น้ำหนัก 72.2% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้นักลงทุนจับตาการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้ รวมทั้งการนำเสนอนโยบายในด้านต่าง ๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ และตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่จะเปิดเผยในวันศุกร์ (22/11)
สำหรับปัจจัยในประเทศ วันนี้ (21/11) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ประเทศไทย : โอกาส-ความหวัง-ความจริง” ว่าจากการเดินทางไปประชุมประเทศต่าง ๆ ต่างชาติแสดงความสนใจลงทุนในประเทศไทย ซึ่งหากการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น นักธุรกิจและต่างชาติจะมั่นใจในการลงทุน ซึ่งตนมีหน้าที่ไปบอกทุกคนถึงความเชื่อมั่นในจุดนี้ ว่ารัฐบาลจะสามารถอยู่จนครบเทอมจนมีการเลือกตั้งได้ และจะเดินหน้านโยบายที่ประกาศไว้ไม่ให้สะดุด
นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ในวันที่ 12 ธ.ค. 2567 จะมีการแถลงสิ่งที่ได้ดำเนินการมาแล้วใน 90 วัน ของรัฐบาลชุดนี้ รวมทั้งจะมีนโยบายดี ๆ ในอนาคต และมาตรการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนด้วย
ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 34.60-34.73 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.60/61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (21/11) ที่ระดับ 1.0546/47 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (20/11) ที่ 1.0554/55 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อยเทียบเงินดอลลาร์ หลังนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักในการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย โดยระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0523-1.0554 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0534/35 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้านี้ (21/11) ที่ระดับ 155.00/01 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (20/11) ที่ 155.68/69 เยน/ดอลลาร์สหรัฐสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค (NHK) ของญี่ปุ่นรายงานในวันนี้ (21/11) ว่า นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่นเตรียมเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 21.9 ล้านล้านเยน หรือ 1.4 แสนล้านดอลลาร์
รายงานข่าวระบุว่ามาตรการดังกล่าวจะครอบคลุมการสนับสนุนการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างยั่งยืน และการแจกเงินสดให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ตลอดจนการลงทุนในภาคเซมิคอนดักเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ และยังอาจรวมถึงแผนการที่รัฐบาลจะกลับมาอุดหนุนค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน ม.ค.อีกครั้ง เพื่อคุ้มครองครัวเรือนต่าง ๆ จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น
ซึ่งขนาดของมาตรการกระตุ้นดังกล่าวใหญ่กว่ามาตรการใช้จ่ายด้านการคลังมูลค่า 21.8 ล้านล้านเยนเมื่อปีที่แล้ว และจะเพิ่มภาระหนี้ให้กับเศรษฐกิจญี่ปุ่นครั้งใหญ่ที่สุด
ทั้งนี้คาดว่าแผนการดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในวันศุกร์นี้ (22/11) หลังจากที่อิชิบะกลับจากการเดินสายเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำในอเมริกาใต้ ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 154.14-155.42 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 154.19/20 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (21/11), ดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟียเดือน พ.ย. (21/11), ยอดขายบ้านมือสองเดือน ต.ค. (Existing Home Sales) (21/11), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการเดือน พ.ย. (22/11)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7.5/-7.3 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -4.1/-3.0 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ