
ดร.พิพัฒน์ KKP ชี้ 3 อุตสาหกรรมหลักของไทย กำลังเจอการแข่งขันรุนแรง คาดแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า เผชิญปัญหาทางโครงสร้าง ความสามารถการแข่งขันที่ถดถอย จับตานโยบายกีดกันการค้าสหรัฐกระทบส่งออกไทย
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในโหมดการฟื้นตัวช้า มีแรงกดดันทางด้านโครงสร้าง ทั้งความสามารถด้านการแข่งขันที่ถดถอยลง โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าจีน โดย 3 อุตสาหกรรมหลักซึ่งไทยเคยเป็นเจ้าตลาดโลกอย่างรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี กำลังโดนดิสรัปต์เพราะผลิตแข่งขันเรื่องต้นทุนไม่ได้ และไม่มีการเพิ่มมูลค่าสินค้า จึงเป็นที่ต้องการในตลาดโลกน้อยลงเรื่อย ๆ
ขณะที่นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในช่วงนี้ ต้องติดตามต่อว่าจะกระทบกับเมืองไทยมากแค่ไหน โดยเฉพาะนโยบายสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยไทยพึ่งพาการส่งออก 50% ของจีดีพี และส่งออกไปที่สหรัฐ 18% ซึ่งปัจจุบันไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐ 3 หมื่นล้านเหรียญ เป็นอันดับที่ 12-13 ของโลก ดังนั้นนโยบายดังกล่าวอาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ขณะที่เศรษฐกิจไทยช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้าจากช่วงเกิดโควิด-19 ที่สร้างผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่ต้องสร้างหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยปัญหาสำคัญของไทยคือความสามารถด้านการแข่งขัน วันนี้สิ่งที่เจอก็คือ บุญเก่าของไทยค่อย ๆ หมดไป ขณะที่บุญใหม่ก็สร้างไม่ทัน หากดูอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของไทย อันดับ 1.รถยนต์ 2.เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ 3.ปิโตรเคมี ทั้งหมดกำลังเจอการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงมาก
นอกจากนี้ ไทยเจอปัญหา Financial Deleveraging หรือภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จะเห็นได้ว่ายอดขายรถ ยอดขายบ้าน (Rejection Rate) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะวนกลับมากระทบภาคอุตสาหกรรม ภาคอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมการก่อสร้าง และกระทบรายได้ประชาชน
ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่โจทย์ใหญ่ จากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี กดดันหนี้ครัวเรือน จนกระทบการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองหากธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อก็จะมีปัญหา ลามกระทบยอดขายรถ ยอดขายบ้าน จนไปถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ไทยต้องหาวิธีตัดวงจรดังกล่าวได้อย่างไร
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยหลายทศวรรษมีการเติบโตที่ลดลง จากที่ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งโตระดับ 7% ช่วงปี ค.ศ. 2000 เติบโต 5% ปี ค.ศ. 2010 โต 3-3.5% หากไม่เปลี่ยนอะไรเลย เราจะโตได้ระดับประมาณ 2.5% และหากผ่านไปอีก 5-10 ปี เศรษฐกิจเราจะโตประมาณ 2% เนื่องจากประชากรวัยทำงานที่ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งหากดีที่สุดเพียงต้องให้เศรษฐกิจเราเติบโตได้เท่าเดิม ต้องมีการลงทุนเพิ่มมหาศาล เพิ่ม Productivity และจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร