บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
ปี 2025 ใกล้เข้ามาแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้ามชอตไปปีหน้า จุดเปลี่ยนของตลาดการลงทุนโลกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังการกลับมาสู่ทำเนียบขาวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง เวลานี้กำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะรัฐบาล และเตรียมประกาศนโยบายต่างๆ ออกมาต่อชาวโลก
สถานการณ์ Trump Return! ชัดเจนแล้ว นักลงทุนต่างคาดการณ์แล้วว่า จากนี้ไปอีก 4 ปีข้างหน้า โลกจะเกิดอะไรขึ้น และควรจะต้องลงทุนยังไงต่อดี หลังจากที่ปีนี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงสดใส แม้จะมีความผันผวนสูงก็ตาม นักลงทุนยังอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยง เพราะมองไปข้างหน้ายังเชื่อมั่นว่า แนวโน้มตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้อีก
สะท้อนผ่านผลตอบแทนของตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลก ณ วันที่ 8 ต.ค. 2024 (YTD) นำโดยสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 +20%, NIKKEI 225 Index ของญี่ปุ่น +17%, จีนเอง CSI300 Index +24% และฮ่องกง HSI Index +22%
ตลาดหุ้นที่กลับมาสดใสได้ แน่นอนว่า แรงส่งจากปัจจัยพื้นฐานต้องมาก่อน ถึงจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับตามมาได้ครับ
เรามาดูปัจจัยพื้นฐานกันครับ ปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจโลกถือว่าดีกว่าที่นักวิเคราะห์หรือธนาคารกลางต่างๆ คาดการณ์กัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด มีการปรับลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่ตลาดคาด เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรก หากมองดีๆ การเริ่มเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ เริ่มจากเฟดปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกเมื่อเดือนก.ย. 2024 ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้เศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวรวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วย
ล่าสุด เฟดยังลดดอกเบี้ยลงอีก รวม 2 ครั้ง 0.75% อยู่ที่ระดับ 4.50-4.75% ซึ่งนับว่า ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงที่สุดในรอบ 1 ทศวรรษครับ และในระยะข้างหน้า เฟดส่งสัญญาณจะปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับค่ากลาง ภายใต้เงินเฟ้อปรับลดลงมาที่กรอบเป้าหมาย 2%ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า เฟดประชุมรอบเดือน ธ.ค. นี้จะปรับลดลงอีก 0.25% และปีหน้า ทะยอยปรับลดลงรวม 1% ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์ต่างก็ออกมาฟันธงว่า ในช่วงปี 2024-2026 เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) เหมือนที่เคยวิตกกังวลกันในหลายปีก่อนหน้าแล้ว แต่แนวโน้มการเติบโตจะชะลอตัวลงหรือ Soft Landing มากกว่า สะท้อนจากเศรษฐกิจโลกปี 2024 เติบโต 3.2% และปี 2025 เติบโต 3.1% (ตามคาดการณ์ของ IMF) โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากการฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจประเทศในฝั่งเอเซีย เช่น จีนและอินเดีย มีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่ ผมมองว่าเป็นบวกต่อการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ในเอเซีย มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยมีเหตุผลหลักๆ มาจาก
- แนวโน้มเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีอัตราเติบโตที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ล่าสุด รายงานจาก IMF เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คาดการณ์ ปี 2024 อัตราการเติบโตของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อยู่ที่ 4.2% โดย จีน เติบโต 4.8% และ 4.5%ในปีหน้า เวียดนามเติบโต 6.1% และ 6.8% ส่วนไทย รั้งท้ายอาเซียน คาดเติบโต 2.8% ในปีนี้ และ 3% ในปีหน้า ฝั่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯ เติบโต 2.8% ในปีนี้ และ 2.2% ในปีหน้า และกลุ่มยุโรป เติบโต 0.8% ในปีนี้
- แนวโน้มการเติบโตของกำไร (EPS Growth) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเกิดใหม่สูงกว่าตลาดพัฒนาแล้ว และมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้น ยังถูกกว่า
ข้อมูลจาก Bloomberg Consensus (8 ต.ค. 2024) ประเมิน EPS Growth ปี 2024-2025 ของดัชนี MSCI Emerging Asia Index ที่ 15.2% และ 15.1% เทียบกับการเติบโตของกำไรดัชนี MSCI World (ตัวแทนของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว) มี EPS Growth ที่ 4.0% และ 11.1% ตามลำดับ
ส่วน Valuation ของตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Asia จะถูกกว่า โดยช่วง 12 เดือน Forward P/E ของดัชนี MSCI Emerging Asia Index อยู่ที่ 14.23 เท่า เทียบกับ 12 Month Forward P/E ของดัชนี MSCI World ที่ 19.62 เท่า ณ วันที่ 8 ต.ค. 2024
ผมจึงมองว่า ตลาดหุ้นเกิดใหม่มีโอกาสปรับขึ้นได้มากกว่า หลังธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มปรับลดดอกเบี้ยแล้วและมีแนวโน้มลดต่อเนื่อง การเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้ Fund flow ไหลเข้าตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง อย่างตลาดเกิดใหม่ฝั่งเอเซีย เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ และเหมาะกับการลงทุนในระยะยาวด้วย
มาเริ่มกันที่ประเทศแรก ตลาดหุ้นเวียดนาม มีโอกาสที่จะถูกปรับเข้าเกณฑ์ตลาดเกิดใหม่ราวไตรมาสแรก ปีหน้า 2025 จากปัจจุบันยังเป็นตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) อีกทั้งยังมีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงและมีจุดยืนที่ดีท่ามกลางความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกของ 2 ประเทศมหาอำนาจ “สหรัฐฯ – จีน”
ทำให้เวียดนาม ยังคงเป็นดาวรุ่งที่น่าสนใจทั้งภาคเศรษฐกิจที่ยังเติบโตสูงในระยะยาว เงินลงทุนจากต่างชาติก็ยังคงไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ยอดการท่องเที่ยวที่เติบโตมหาศาล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพัฒนาทั้งเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค ให้เป็นรากฐานการเติบโตของประเทศในอนาคต รวมถึงการส่งออกที่ได้เปรียบดุลการค้า หลายๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างพากันมาเปิดโรงงานที่เวียดนาม ล่าสุด google เตรียมเข้ามาลงทุนครั้งใหญ่ ยิ่งเป็นโมเมนตัมให้เวียดนามขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัลตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
ทำให้เวียดนาม คงเป็นประเทศที่เนื้อหอมต่อเนื่อง และกลายเป็นประเทศที่น่าลงทุนสุดๆ หากถือลงทุนระยะยาว มีโอกาสรับผลตอบแทนเต็มๆ ในวันที่เวียดนามก้าวขึ้นสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่เต็มตัวพร้อมกับการเติบโตของประเทศในระยะยาวครับ
มาต่อกันที่ “ตลาดหุ้นจีน” คุณคงสงสัยว่า ทำไมผมยังเชียร์หุ้นจีนน่าลงทุนอยู่ใช่มั้ยครับ เพราะทั่วโลกกำลังวิตกกังวล ทรัมป์ รีเทิร์น โลกจะปั่นป่วนกับสงคราม Trade War และ Tech War ประเด็นนี้ ผมคิดว่า จีนได้เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหากีดกันการค้ามาตลอดช่วง 4 ปีก่อนแล้วครับ
วันนี้ ’จีน’ หนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่มีการเติบโตสูง อีกทั้งภาครัฐออกมาตรการผลักดันเศรษฐกิจต่างๆ ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนไม่ว่าจะเป็น การผลักดันด้านเทคโนโลยี, การสนับสนุนนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างหุ่นยนต์และ AI, การแพทย์สมัยใหม่ เซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น
แม้แต่ภาคการบริโภค รัฐยังมีการกระตุ้นการใช้จ่าย ส่งเสริมให้คนอุปโภคบริโภคสินค้าภายในประเทศ ลดการพึ่งพาจากต่างชาติต่อเนื่อง รวมไปถึงการออกมาตรการสนับสนุนให้คนในประเทศหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น จากเดิมที่นิยมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุด รัฐบาลจีนยังอัดฉีดเม็ดเงินอีก 10 ล้านล้านหยวน จัดมาตรการแพคใหญ่ที่ครอบคลุมถึงการปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ไปด้วย และคาดว่า ปีหน้ายังคงรัฐบาลจีนดูแลอย่างต่อเนื่อง ผมยังมองว่า ในระยะยาว จีนยังมีพลังจากการเติบโตจากภาคเศรษฐกิจดิจิทัล ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่คาดหวังว่า จีนจะเติบโตแซงสหรัฐฯ ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ในอนาคต
ผมมั่นใจว่า หากความเชื่อมั่นจากต่างชาติกลับมาประเทศจีนได้ แนวโน้มตลาดหุ้นจีนจะเติบโตได้อีกครั้งครับ แม้ปีนี้ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ก็ยังพบว่า หุ้นจีนที่ราคาถูก ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว
โดยผมมีข้อมูล Market Prediction ของ Jitta Wealth ได้เปรียบเทียบอัตราส่วนจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง (P/E) จากหุ้นที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นจีน พบว่า “จำนวนหุ้นถูก” ต่อ “จำนวนหุ้นแพง” อยู่ที่ 44:6 คิดเป็นอัตราส่วนหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพงอยู่ที่ 7.33 เท่า (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567) ดังนั้น หากยังไม่มีหุ้นจีนติดพอร์ต คุณยังสามารถลงทุนหุ้นจีนทันอยู่ครับ
มาต่อกันตลาดหุ้นฮ่องกง ประเทศนี้น่าลงทุนไม่น้อยไปกว่าจีน ด้วยความที่เศรษฐกิจของฮ่องกง ค่อนข้างล้อไปกับพี่ใหญ่อย่างจีน เพราะฉะนั้น เมื่อจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ทำให้ฮ่องกง ได้รับประโยชน์ด้วยครับ
โดยเฉพาะบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ทำให้ตลาดฮ่องกงได้เปรียบกว่าจีน คือ ‘ราคาหุ้นที่ถูกมาก’ P/E แค่ 11.07 เท่า ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อีกทั้งยังดึดดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ ให้ไหลเข้ามาลงทุนได้ง่ายกว่า เรียกว่า หากคุณที่ลงทุนในหุ้นฮ่องกงในตอนนี้ พอร์ตมีโอกาสเติบโตได้อีกไกลครับ
นี่คือ 3 ตลาดหุ้นที่เป็นโอกาสการลงทุนที่ไม่ควรมองข้ามในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 นี้ครับ
สำหรับการลงทุนระยะยาว ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งในด้านปีงบประมาณหรือนโยบายต่างๆ ที่ภาครัฐออกมาสนับสนุนเศรษฐกิจ และตลาดหุ้น ถือ
เป็นหนึ่งในโอกาสที่ดีของนักลงทุน VI อย่างเราๆ เพราะอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
IMF ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีหน้ายังเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกใกล้ถึงเป้าหมายของธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ที่สูง อาจกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น นักลงทุน VI ตัวจริงเสียงจริง ต้องไม่มองข้ามความเสี่ยงที่คุณจำเป็นต้องติดตามอยู่ตลอด เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ การขยันทำการบ้าน หมั่นตรวจสุขภาพพอร์ตลงทุน ถือเป็นเกราะป้องกันชั้นเลิศ ให้คุณได้ทบทวนหลักการลงทุนยึดมาถูกทิศถูกทาง หากลงทุนที่ถูกที่ใช่ มีชัยในอนาคต
เพราะฉะนั้นการจัดพอร์ตกระจายน้ำหนักในตลาดหุ้นประเทศต่างๆ และสินทรัพย์ต่างๆเหมาะสม และมีความยืดหยุ่น ทนทานรับสภาวะตลาดผันผวน เพื่อให้ออกดอกผลให้คุณได้ตามเป้าหมายในระยะยาว
เป็นเรื่องปกติในวัฏจักรเศรษฐกิจ การลงทุน หุ้นมีขึ้นมีลง แต่สุดท้าย บทเรียนในอดีตที่ผ่านมา ตลาดหุ้นล้วนเติบโตไปข้างหน้าตามเศรษฐกิจครับ
ต้นไม้ใหญ่ย่อมต้องหยั่งรากลึก การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ สาย VI ก็เหมือนกัน
การเติบโตของประเทศหรือหุ้นดีๆ สักตัว อาจใช้เวลาหลายปี ถ้าคุณอยากลงทุนระยะยาว อาจต้องมีระยะเวลาที่มากกว่านั้น เพื่อกอบโกยผลลัพธ์จากการเติบโต และแน่นอนระหว่างทาง คุณจะต้องเจอกับความผันผวนขึ้นลง
ซึ่งวิธีรับมือความผันผวนก็คือ… วินัยของคุณเอง! ด้วยการลงทุนแบบ DCA สม่ำเสมอ ช่วยถัวฉลี่ยต้นทุน สร้างรากฐานให้พอร์ตพร้อมดีดตัวเมื่อจังหวะดีๆ มาถึง
ในโลกลงทุนระยะยาว ถ้ามั่นใจในสินทรัพย์ที่เลือกแล้ว ที่เหลือก็แค่ใจเย็นกับพอร์ตของคุณ เพื่อไปสู่เป้าหมายการลงทุนที่ตั้งใจไว้ครับ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ