
เงินบาทอ่อนค่า หลังราคาทองปรับตัวลงต่ำกว่า 2,700 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ยังมีความไม่แน่นอนถึงการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมนี้
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (25/1) ที่ระดับ 34.40/42 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (22/11) ที่ระดับ 34.48/50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังยังมีความไม่แน่นอนในการคาดการณ์เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในเดือน ธ.ค. ระหว่างการคงอัตราดอกเบี้ยหรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง
แม้วันศุกร์ที่ผ่านมา (22/11) เอสแอนด์พี โกลบอล มีการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของสหรัฐในเดือน พ.ย. โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นปรับตัวขึ้นอยู่ที่ระดับ 48.8 จากระดับ 48.5 ในเดือน ต.ค. ซึ่งดัชนี PMI ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว
ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นปรับขึ้นสู่ระดับ 57.0 จากระดับ 55.0 ในเดือน ต.ค. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการมีการขยายตัว ขณะที่ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.3 จากระดับ 54.1 ในเดือน ต.ค. บ่งชี้การขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้แรงหนุนจากคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งคาดการณ์นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะเอื้อต่อภาคธุรกิจ
นอกจากนี้ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับลงสู่ระดับ 71.8 ในเดือน พ.ย.ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 73.0 จากระดับ 73.0 ในเดือน ต.ค. ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 2.6% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ต.ค. นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.2% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ต.ค.ที่ระดับ 3.1%
ด้านปัจจัยภายในประเทศ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2/2567 มีมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3% ลดลงจากขยายตัว 2.3% ในไตรมาสที่ 1/2567 จากการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น
โดยหนี้สินครัวเรือนเกือบทุกประเภทมีการปรับตัวชะลอลง ยกเว้นสินเชื่อส่วนบุคคล ส่วนหนึ่งมาจากการมีภาระหนี้ที่สูง ประกอบกับคุณภาพสินเชื่อที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ สะท้อนจากเงินให้กู้แก่ภาคครัวเรือนของธนาคารพาณิชย์มีการหดตัวลง ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในปะเทศ (GDP) ปรับลดลงอยู่ที่ 89.6% จาก 90.7% ของไตรมาสที่ผ่านมา
นายอนุชา กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงมาต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ขยายตัวขึ้น ดังนั้น ถ้าสามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนให้ชะลอตัวลงเรื่อย ๆ จะทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะหนี้สำคัญ ๆ ทั้งเรื่องความมั่นคงในชีวิตของคน อย่างหนี้บ้านและที่ใช้ในการทำมาหากิน อย่างหนี้รถ หรือหนี้ธุรกิจ
ส่วนสถานการณ์แรงงานไตรมาส 3/2567 ค่อนข้างทรงตัว โดยการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมขยายตัว ขณะที่ภาคเกษตรกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่อง ด้านค่าจ้างเพิ่มขึ้นทั้งภาพรวมและภาคเอกชน ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.02% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยระหว่างวันค่าเงินบาททยอยอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาด หลังราคาทองคำปรับตัวลงต่ำกว่า 2,700.00 ดอลลาร์/ออนซ์
ทั้งนี้ระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 34.38-34.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.63/65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (25/11) ที่ระดับ 1.0481/82 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (22/11) ที่ระดับ 1.0426/28 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ตามการอ่อนค่าของดอลลาร์ แม้เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยดัชนี PMI เดือน พ.ย. ของยูโรโซนจากฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นปรับตัวลงสู่ระดบ 45.2 จากระดับ 46.0 ในเดอน ต.ค. และดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นปรับตัวลงสู่ระดับ 49.2 จากระดับ 51.6 ในเดือน ต.ค.
ส่งผลให้ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นปรับตัวลงสู่ระดับ 48.1 จากระดับ 50.0 ในเดือน ต.ค. จากภาวะหดตัวของภาคธุรกิจยูโรโซนทั้งภาคการผลิตและบริการ โดยได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวลง โดยในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.0426-1.0501 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0478/79 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (25/11) ที่ระดับ 154.20/22 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (22/11) ที่ระดับ 154.29/30 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องตามการอ่อนค่าของดอลลาร์ โดยในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 153.84-155.14 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 154.73/74 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ของสหรัฐ ได้แก่ ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งประเทศเดือน ต.ค.จากเฟดสาขาชิคาโก (25/11), ราคาบ้านเดือน ก.ย. จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ (26/11), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. จากคอนเฟอร์เรสซ์ บอร์ด (26/11), ยอดขายบ้านใหม่เดือน ต.ค. (26/11), ดัชนีการผลิตเดือน พ.ย.จากเฟดสาขาริชมอนด์ 26/11), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (27/11), ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ต.ค. (27/11), ยอดคำสั่งซื้อคงทนเดือน ต.ค. (27/11), GDP ไตรมาส 3/2567 (ประมาณการครั้งที่ 2) (27/11) และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือน ต.ค. (27/11)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7.50/-7.25 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -3.90/-2.90 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานราคาทองคำประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ว่าแม้ว่าราคาจะมีแรงซื้อดันราคาให้ปรับตัวขึ้น แต่ราคาปรับตัวขึ้นมาแล้วในระดับหนึ่ง ประกอบกับมีแรงขายทำกำไรสลับเข้ามา แนะนำรอเปิดสถานะซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น เมื่อราคาอ่อนตัวลง สามารถยืนเหนือแนวรับ 2,682-2,663 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อรอทยอยปิดสถานะซื้อทำกำไร หากราคาปรับตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้าน 2,717-2,733 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สถานะซื้อตัดขาดทุน หากราคาหลุด 2,663 ดอลลาร์ต่อออนซ์