ทีทีบีจี้แก้โครงสร้างเศรษฐกิจ ชู “3 Turn-1 Trend” อนาคตประเทศ

piti

ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญกับหลาย ๆ ปัจจัยที่เข้ามากระทบ แม้จะยังอยู่ในเทรนด์ของการค่อย ๆ ฟื้นตัว แต่ก็เติบโตช้า ซึ่งขณะนี้จะสิ้นปีแล้ว และมองไปข้างหน้าในปี 2568 สถานการณ์โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จะเสี่ยงแค่ไหน และมีโอกาสอะไรบ้าง

“ปิติ ตัณฑเกษม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) ได้ฉายภาพ “โอกาส-ความท้าทาย-เศรษฐกิจไทย” ไว้บนเวทีสัมมนา “Thailand 2025 โอกาส ความหวัง ความจริง” จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ” เมื่อเร็ว ๆ นี้

อดีตไทยแทงหวย 3 ใบถูกหมด

“ปิติ” เริ่มฉายภาพว่า หากย้อนกลับไปในช่วง 70 ปีก่อน ไทยเกิดปรากฏการณ์ที่ขอttbเรียกว่า แทงหวย 3 ใบและแทงถูก โดยหวยใบแรก ไทยเลือกยืนอยู่ข้างประชาธิปไตยและทุนนิยม ในสมัยสงครามเวียดนาม ต่อมาหวยใบที่สอง ไทยเจอทรัพยากรและก๊าซธรรมชาติ แต่ทำไม่เป็น จึงเลือกพัฒนาร่วมกับผู้ที่ทำเป็น และหวยใบที่สุดท้าย คือ ในช่วงที่สหรัฐทะเลาะกับญี่ปุ่น ซึ่งไทยเลือกดึงญี่ปุ่นมาใช้ไทยเป็นฐานการผลิต

“เหล่านี้ คือหวยใหญ่ที่เราแทงมาแล้ว เรียกว่าถูกเรื่อง ถูกทาง ทำให้เมืองไทยโตมาถึงทุกวันนี้ แต่ต่อมาสิ่งที่ได้จากหวย 3 ใบ มันเริ่มหมดไปเรื่อย ๆ ซึ่งในช่วงต้มยำกุ้งเราบอกจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ และมีคนบอกว่าเศรษฐกิจไทยจะโตแซงเศรษฐกิจฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1994 แต่จนถึงวันนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ไปไหน แม้ว่าตัวเลขล่าสุดในไตรมาส 3/2567 ที่ออกมาเกิน 2% ทำให้กระชุ่มกระชวยขึ้นมานิดหนึ่ง แต่เราจะไปต่อกันยังไง ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาระดับชาติ”

โครงสร้างเศรษฐกิจมีปัญหา

“ปิติ” กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีปัญหา รายได้ต่อหัวต่ำและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจก็ต่ำ สะท้อนว่า เศรษฐกิจเริ่มแย่แล้ว เริ่มมีปัญหาที่นำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และวันนี้ ยังเจอปัญหาหนี้ เหมือนบริษัทที่ EBITDA ติดลบ กระแสเงินสด (Cash Flow) ติดลบ ทุกวันนี้ คนไทยกู้มา กลบการใช้ชีวิต เลยกลายเป็นปัญหาหนี้ จากผลของปัญหาในเรื่องรายได้ที่เติบโตช้า

โดยปัญหาหลักของไทย คือ โครงสร้างเศรษฐกิจ โครงสร้างธุรกิจ ซึ่งบริษัทใหญ่ที่แข็งแรงที่พอสู้กับคนอื่นได้มีแค่ 2% ของบริษัทในไทย มีการจ้างงาน 16% ซึ่งหากบริษัทใหญ่ ๆ นี้เจ๊ง จะกระทบคน 16% แต่กระทบการลงทุนถึง 60% และกระทบจีดีพี 43% แต่เอสเอ็มอีที่มี 98% จ้างงานครึ่งหนึ่งของประเทศ แต่สร้างการลงทุน และผลิตจีดีพีได้นิดเดียว ตรงนี้คือปัญหาความไม่เท่าเทียม

ADVERTISMENT

“ในยุคต้มยำกุ้ง เรามีหนี้น้อยมาก รัฐบาลสามารถกู้มาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ แต่วันนี้หนี้เริ่มจะชนเพดาน และไทยโตช้ามาหลายปี ซึ่งที่ผ่านมาจีนมาท่องเที่ยวช่วยกัน แต่ตอนนี้จีนเจอปัญหาหนัก เศรษฐกิจโตช้าลง แถมโลกใบนี้ตีกันอีก ก็หวังว่ารัฐบาลทรัมป์ จะเริ่มกับโฟกัสในประเทศมากขึ้น ตีกันน้อยลง ก็จะช่วยคลี่คลายเรื่องนี้ลงไป”

แนะ “แทงหวย 4 ใบ”

มองไปข้างหน้า “ปิติ” กล่าวว่า วันนี้ อยากจะชวนแทงหวยเพิ่มอีก 4 ใบ ซึ่งจะกำหนดอนาคตประเทศ หวยใบแรก “Turn การลงทุนของรัฐ” โดยเปลี่ยนการลงทุนของรัฐให้มาเป็นการลงทุนร่วมกับเอกชน (PPP) หรือการลงทุนผ่าน Out Source เหมือนเรื่องโครงสร้างโทรคมนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากไทยมีปัญหาเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business)

ADVERTISMENT

“ถ้าดูผลวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่า ไทยมีกฎหมาย 1.7 หมื่นฉบับ มีไลเซนส์ 1,700 ชนิด มีคณะกรรมการกว่า 345 คณะ และมีกระบวนงานเป็นหมื่น มีกระบวนการต่าง ๆ ที่สร้างต้นทุนมากถึง 2 แสนล้านบาท หากสามารถนำดิจิทัล หรือเอไอมาช่วยโดยให้เอกชนทำ จะช่วยลดต้นทุนได้มาก หรืออย่างน้อยลดได้ครึ่งหนึ่ง หรือ 1 แสนล้านบาท ถือว่าไม่ใช่น้อย นอกจากนี้ ต้องแก้ระบบโครงสร้างพื้นฐานขนส่งของไทย ที่มีต้นทุนสูงกว่าญี่ปุ่นถึง 2 เท่า”

หวยใบที่ 2 คือ “Turn ความแข็งแกร่งของภาคเอกชนมาสู่การเติบโต” ผ่านโมเดล “พี่ช่วยน้อง” หรือ “ผีเสื้อกับแมลง” น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เหมือนกับปั๊มน้ำมัน ปตท. หรือบางจาก ที่ให้แฟรนไชส์ร้านค้า หรือสหกรณ์มาขาย หรือการร่วมมือกันของแพลตฟอร์ม Line Man กับ Wongnai ช่วยให้ร้านอาหารขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มได้ เป็นแบบรายใหญ่ช่วยซัพพอร์ตรายเล็ก เป็นการสร้างสึนามิในรูปแบบดอกไม้กับแมลง โดยภาครัฐให้แรงจูงใจ

“นอกจากนี้ ถ้าดูความแข็งแกร่งของเอกชนที่อยู่หลายเช็กเตอร์ โดยเฉพาะ 3 อุตสาหกรรม คือ ท่องเที่ยว อาหาร และสุขภาพ แต่ท่องเที่ยววันนี้กระจุกตัวไม่กี่จังหวัด จะทำอย่างไรให้กระจายไปสู่จังหวัดอื่นมากขึ้น หรือการผลิตวัตถุดิบอาหารสัดส่วน 80% ของรายได้ขนาดใหญ่ จะทำอย่างไรให้วัตถุดิบสามารถเป็น Cuisine เพื่อกระจายไปสู่เอสเอ็มอี ส่วนเรื่องสุขภาพ วันนี้ 65% ไทยนำเข้าเวชภัณฑ์และยา จะทำอย่างไรให้เอกชนผลิตได้ ทดแทนการนำเข้า”

ชงให้สิทธิแทนแจกเงิน

หวยใบที่ 3 “Turn ความช่วยเหลือของภาครัฐให้คมขึ้น” โดยในช่วงที่ผ่านมา มีมาตรการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และวันนี้ มีดิจิทัลวอลเลต ขณะที่พีระมิดประชากรแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ รายได้น้อย รายได้ปานกลาง และรายได้สูง ซึ่งสิ่งที่อยากเห็น คือ เปลี่ยนรูปแบบการช่วยเหลือของภาครัฐ เป็น 3 รูปแบบตามพีระมิด เริ่มจากกลุ่มล่าง ที่ควรให้สิทธิไม่ใช่แจกเงิน

โดยสามารถนำสิทธิไปแลกเป็นปุ๋ย แลกเป็นน้ำมันสำหรับใช้เดินทางไปทำงาน กับร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีได้ จะได้ช่วยลดต้นทุน ขณะที่พีระมิด กลุ่มที่ 2 ก็ใช้ Copay ช่วยเพิ่มกำลังซื้อผ่านสิทธิช่วยจ่าย เหมือนโครงการคนละครึ่ง

“มนุษย์เงินเดือน เงินเดือนน้อย ๆ ไปทำงาน ต้นทุนเขาสูง จะทำอย่างไรให้ค่ากินข้าว แต่ละมื้อถูกลง เช่น กินก๋วยเตี๋ยว อาจจะช่วยอุดหนุนให้ 30-40% ไม่ใช่กินก๋วยเตี๋ยวในราคา 100% โดยกำหนดให้กี่บาทต่อเดือน หรือให้เป็นรายวัน เปรียบเหมือนให้เงินลูกไปโรงเรียน โดยไม่ได้ให้ทั้งก้อน เพื่อใช้วันเดียวหมด เพื่อให้คนกลุ่มนี้ออกไปทำงานมีต้นทุนค่าครองชีพถูกลง และจะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนได้”

ส่วนพีระมิดกลุ่มบนสุด ให้สิทธิในการคืนภาษี และการจับจ่ายในช่วงปลายปี เช่น การเที่ยวต่างจังหวัดในเมืองรองในวันธรรมดาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งทำแบบนี้ช่วยลดค่าครองชีพ และดึงคนที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ เพราะปัจจุบันคนไทยยังจ่ายภาษีแค่ 4 ล้านคน และบริษัทส่วนใหญ่อยู่ได้ เพราะหนีภาษี ทำให้ประเทศไทยพัฒนาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นหัวใจและเป็นหวยที่อยากจะให้ช่วยกันแทง

เร่งปรับตัวรับเทรนด์โลก

หวยใบสุดท้าย “Global Trend” อย่างเรื่องสีเขียว (Green) ซึ่งขณะนี้เป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องทำ เพราะภาคอุตสาหกรรมการผลิตภายใต้สังคมสูงอายุไม่สามารถต่อสู้กับจีนได้ ดังนั้น ไทยต้องทำเชิงรุกในเรื่อง Green และ Clean เพราะนี่คือโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงการเป็นซัพพลายเชนของโลก

“ทั้งหมดนี้ คงไม่ได้ตั้งความหวังว่าอยู่ที่ใคร แต่เชื่อว่าถ้าภาคเอกชน ประชาชน ร่วมมือกัน ช่วยกัน ประเทศไทยเราจะเปลี่ยนจากภาพขาวดำ เป็นภาพสีได้ด้วยมือของพวกเราเอง” ซีอีโอทีทีบีกล่าวทิ้งท้าย