ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าตามทิศทางบอนด์ยีลด์ หลังนักลงทุนซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจ

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 25-29 พฤศจิกายน 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (25/11) ที่ระดับ 34.40/42 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (22/11) ที่ระดับ 34.48/50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

หลังยังมีความไม่แน่นอนในการคาดการณ์เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในเดือน ธ.ค. ระหว่างการคงอัตราดอกเบี้ยหรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง อีกทั้ง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังปรับตัวลงตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ชะลอตัวลง หลังจากมีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐได้เสนอชื่อสก็อตต์ เบสเซนต์ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ คีย์สแควร์ กรุ๊ป (Key Square Group) ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง

โดยเบสเซนต์มีจุดยืนสนับสนุนการจัดเก็บภาษีนำเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจของสหรัฐ รวมทั้งมีเป้าหมายควบคุมเงินฟ้อ ผลักดันการฟื้นตัวของภาคการผลิตและความเป็นอิสระในอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางสัปดาห์ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ทำสงครามการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน โดยให้คำมั่นว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% เมื่อเขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในวันแรก และจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% โดยระบุถึงเหตุผลเรื่องการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและการค้ายาเสพติด

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผย ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลงสู่ระดับ 610,000 ยูนิตในเดือน ต.ค. ดิ่งลง 17.3% เมื่อเทียบรายเดือน โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2565 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 725,000 ยูนิต จากระดับ 738,000 ยูนิตในเดือน ก.ย.

ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแม้ว่าสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ก็ปรับตัวขึ้นมากกว่าในเดือน ก.ย. ที่เพิ่มขึ้น 2.1% ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแม้ว่าสอดคล้องกับการคาดการณ์ แต่ก็ปรับตัวขึ้นมากกว่าในเดือน ก.ย. ที่เพิ่มขึ้น 2.7%

ADVERTISMENT

ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐ ลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 216,000 ราย ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือน ต.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 0.8% หลังจากลดลง 0.4% ในเดือน ก.ย.

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ในวันอังคาร (26/11) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน ต.ค. โดยมูลค่าส่งออกขยายตัว 14.6% เมื่อเทียบรายปี แตะระดับ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 6.3% ซึ่งถือป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 19 เดือน

ADVERTISMENT

ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของการค้าโลกในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่่ช่วยหนุนการส่งออกไทยซึ่งอยู่ในห่วงโซ่การผลิต การขยายตัวของการบริโภคของประเทศคู่ค้าหลัก และการสั่งซื้อสินค้าวัตถุดิบเข้าสู่คลังสินค้าของภาคอุตสาหกรรมและการสั่งซื้อสินค้าทุนเพื่อรองรับการผลิต ขณะที่มูลค่านำเข้าขยายตัว 15.9% เมื่อเทียบรายปี แตะระดับ 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยยังคงขาดดุลการค้าอยู่ 794.5 ดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์คาดว่ามูลค่าส่งออกไทยปีนี้อาจเติบโตได้ถึง 4% เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขณะที่ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยช่วงท้ายปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดทายของปี 2567 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเร่งขึ้นจากระดับ 3% ในไตรมาสที่ 3/67 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การแจกเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางราว 14 ล้านคน รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน

นอกจากนี้ ฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังช่วยเสริมให้การเติบโตในไตรมาส 4 นี้ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น โดยล่าสุดศูนย์วิจัยกรุงศรีปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2567 เป็น 2.7% จากเดิมที่คาดไว้ 2.4% สำหรับปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตรา 2.9% เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐ และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายใน และภายนอก ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ ความตึงเครียดทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ การทะลักเข้าของสินค้านำเข้าจากจีน ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากปรากฏกมารณ์ลานีญาในช่วงครึ่งแรกของปี รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งจะยังคงกดดันการเติบโตทางเศษฐกิจโดยรวม

ทั้งนี้ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 34.21-34.78 บาทดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (29/11) ที่ระดับ 34.29/31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (25/11) ที่ระดับ 1.0481/82 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (22/11) ที่ระดับ 1.0426/28 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ตามการอ่อนค่าของดอลลาร์ แม้เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยดัชนี PMI เดือน พ.ย. ของยูโรโซนจากฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นปรับตัวลงสู่ระดับ 45.2 จากระดับ 46.0 ในเดือน ต.ค. และดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นปรับตัวลงสู่ระดับ 49.2 จากระดับ 51.6 ในเดือน ต.ค.

ส่งผลให้ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นปรับตัวลงสู่ระดับ 48.1 จากระดับ 50.0 ในเดือน ต.ค. จากภาวะหดตัวของภาคธุรกิจยูโรโซนทั้งภาคการผลิตและบริการ โดยได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน

ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวลง อีกทั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี Ifo เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีปรับตัวลงสู่ระดับ 85.7 ในเดือน พ.ย. จากระดับ 86.5 ในเดือน ต.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 86.0 โดยดัชนีได้รับผลกระทบจากความกังวลว่าเศรษฐกิจเยอรมนีอาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการดำเนินนโยบายการค้าของนายทรัมป์ ทั้งนี้ในช่วงระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0424-1.0597 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (29/11) ที่ระดับ 1.0556/58 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดวันจันทร์ (25/11) ที่ระดับ 154.20/22 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (22/11) ที่ระดับ 154.29/30 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องตามการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ โดยในวันอังคาร (26/11) ธนาคารกลางญี่ปุน (BOJ) เปิดเผยดัชนี CPI พื้นฐานธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ Core CPI) เดือน ต.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 1.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8% หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 1.7% ในเดือน ก.ย.

ขณะที่วันศุกร์ (29/11) สำนักงานสถิติแห่งชาติญี่ปุ่นเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค โดยดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในกรุงโตเกียว (Tokyo Core CPI) ประจำเดือน พ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 2.1% และสูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 1.8% ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทะลุเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าอาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนหน้า

หลังจากประกาศตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าว เงินเยนแข็งค่าสู่ระดับ 149.74 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือน นอกจากนี้ สำนักข่าวเกียวโตรายงานว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาออกพันธบัตรรัฐบาลชุดใหม่มูลค่า 6.7 ล้านล้านเยน หรือราว 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้เป็นงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของคุณชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น

โดยคณะรัฐมนตรีของคุณอิชิบะคาดว่าจะอนุมัติแผนงบประมาณเพิ่มมูลค่า 13.9 ล้านล้านเยน โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ท่ามกลางภาวะราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 149.52-154.72 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (29/11) ที่ระดับ 150.13/17 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ