ส่อง 3 หุ้นจำนำทะเบียน โตฝ่า “สินเชื่อแบงก์หด” ปีหน้าไปต่อ

ท่ามกลางภาวะที่แบงก์กังวลหนี้เสีย ส่งผลกระทบทำให้ภาพรวมสินเชื่อไม่โต หรือหดตัว ทว่าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยังคงเติบโตได้ดี เห็นได้จากผลงานของหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทนี้

นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจหุ้นกลุ่มจำนำทะเบียนในปี 2567 นี้ สินเชื่อยังขยายตัวได้ดี แม้ในช่วงไตรมาส 3 มีสะดุดบ้างเล็กน้อย แต่ประเมินว่าภาพรวมทั้งปีสินเชื่อน่าจะโตได้ที่ระดับ 10-15% ต่อปี (YOY) จากความต้องการสินเชื่อที่มีอยู่ เนื่องจากแบงก์ยังคุมเข้มปล่อยสินเชื่อ

สำหรับ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ประเมินว่า กำไรขยายตัวได้สูงสุดในกลุ่ม คาดปีนี้มีกำไรสุทธิ 5,700 ล้านบาท เติบโต 16% YOY รองลงมาเป็น บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) คาดกำไรสุทธิ 5,200 ล้านบาท เติบโต 5% YOY และ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) คาดกำไรสุทธิ 4,100 ล้านบาท เติบโต 9% YOY

ส่วนแนวโน้มปี 2568 ประเมินว่า ธุรกิจในกลุ่มจำนำทะเบียน จะเห็นแรงสนับสนุนจากความต้องการใช้สินเชื่อที่ยังมีอยู่มาก และแรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงิน ที่น่าจะเริ่มลดลง เมื่อเทียบกับปีนี้ จากดอกเบี้ยที่เริ่มนิ่งมากขึ้น

“ปีหน้า แรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงิน น่าจะเบาลง และน่าจะเห็นการเติบโตรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิได้”

ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นได้ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตได้ที่ 2.5-3% ซึ่งมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษกิจของภาครัฐที่มุ่งเน้นไปกลุ่มฐานรากมากขึ้น จะส่งผลให้กลุ่มจำนำทะเบียนได้รับอานิสงส์ ลูกค้ามีความสามารถในการชำระหนี้ดีมากขึ้น

ADVERTISMENT

“แนะนำซื้อ MTC ราคาเหมาะสมที่ 55 บาท โดยมองว่าสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี รองลงมาเป็น TIDLOR เนื่องจาก Valuation ค่อนข้างถูก P/E ซื้อขายที่ 11 เท่า ถือว่าไม่แพงมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา มองราคาเหมาะสม ที่ 19.5 บาท”

ด้าน บล.กสิกรไทย วิเคราะห์ว่า หุ้น MTC กำไรเป็นไปตามคาด โดยปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” หลังจากกำไรไตรมาส 3/2567 ออกมาที่ 1,490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) และ 16% YOY สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้

ADVERTISMENT

ขณะที่มองไปในไตรมาส 4/2567 คาดว่าการจัดเก็บหนี้ จะยังเติบโตแข็งแกร่ง หนุนโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และทักษะการทำงานของพนักงานในการติดต่อกับลูกค้าที่ดีขึ้น

ซึ่งคาดว่ากำไร MTC ในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 26% จากการเติบโตของสินเชื่อ ต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง และ Credit Cost (ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ) ที่ลดลง

บล.กสิกรไทย แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 55.50 บาท

ขณะที่หุ้น SAWAD กำไรแตะจุดต่ำสุดแล้ว แต่ ROE มีแนวโน้มลดลง โดยกำไรไตรมาส 3/2567 ของ SAWAD อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% QOQ แต่ลดลง 6% YOY ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ ส่วนกำไรช่วง 9 เดือน ปี 2567 คิดเป็น 73% ของประมาณการทั้งปี ผู้บริหารคงเป้า Credit Cost ไว้ที่ 180bps ในปี 2568 หากสภาพคล่องในตลาดพันธบัตรดีขึ้น SAWAD คาดว่าจะสามารถกระตุ้นการเติบโตของสินเชื่อปีหน้าให้เป็น 10-15%

โดยคาดว่า ROE ในปี 2568-2569 ลดลงเป็น 15.7% และ 15.57% ตามลำดับ จาก 16.81% ในปีนี้ ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย ปรับประมาณการกำไรปี 2567-2569 หุ้น SAWAD ลง 1.4%, 7.6% และ 5.5% ตามลำดับ เพื่อสะท้อน NIM ที่อ่อนแอลงและแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อปี 2567-2569

แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร และลดเป้า PBV ลงเป็น 1.51 เท่า จาก 1.65 เท่า โดยถือว่า ROE ระยะยาวลดลงเป็น 16% จาก 17%

ด้านหุ้น TIDLOR บล.กสิกรไทย วิเคราะห์ว่า กลับมาเติบโตพร้อมความเสี่ยงลดลง โดย TIDLOR รายงานกำไรไตรมาส 3/2567 ที่ 991 ล้านบาท ลดลง 9% QOQ และ 2% YOY สอดคล้องกับประมาณการของ บล.กสิกรไทย แต่ต่ำกว่าของตลาด 6% ซึ่งคาดว่า TIDLOR จะเข้าสู่ช่วงคุณภาพสินทรัพย์ที่ทยอยปรับดีขึ้น ตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป โดยมีการก่อตัวของหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ใหม่ และ Credit Cost ที่ลดลง

อย่างไรก็ดี TIDLOR มีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องต่ำกว่าคู่แข่ง ซึ่ง บล.กสิกรไทย คาดว่าการเติบโตของกำไรจะเร่งตัวขึ้นในปี 2568 และ ROE จะกลับเป็นขาขึ้นในปี 2568 เช่นกัน โดยแนะนำ “ซื้อ” ด้วย TP ที่ 23.00 บาท มูลค่าหุ้นดูน่าสนใจจาก PER ที่ต่ำที่ 10 เท่า เทียบกับการเติบโตของกำไรประมาณ 14-16% ในปี 2568-2569