คลังลั่นอยากเห็น กนง.หั่นดอกเบี้ยอีก

Cut interest

ขุนคลัง ลั่นอยากเห็น ธปท.ลดดอกเบี้ยลงอีก หนุนลดต้นทุนการเงิน-แบ่งเบาภาระประชาชน พร้อมจี้หามาตรการดูแลค่าเงินบาท ด้านผู้ว่าการแบงก์ชาติ ชี้โลกเผชิญไม่ความแน่นอน-นโยบายตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐ ระบุนโยบายการเงินต้อง “ยืดหยุ่น” เหมาะสมทุกสถานการณ์-ไม่ใช่แค่เรื่องดอกเบี้ย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ยืนยันว่ารัฐบาลยังอยากเห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.50% ต่อปี เพื่อสนับสนุนบริษัทขนาดกลางให้มีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง ช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชน แต่ทั้งนี้ จะมีการปรับลดลงอีกเมื่อไหร่นั้น การตัดสินใจทั้งหมดเป็นหน้าที่ของ กนง.ที่จะพิจารณา

พิชัย ชุณหวชิร
พิชัย ชุณหวชิร

ส่วนการกำหนดกรอบเงินเฟ้อใหม่นั้น รัฐบาลอยากเห็นอัตราที่เหมาะสมซึ่งควรอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ 2% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ น่าจะขยายตัวต่ำกว่า 1% ขณะที่เพื่อนบ้านอยู่ที่ 2-4%

“อยากเห็นนโยบายการเงินช่วยผลักดันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยการหามาตรการระยะยาวที่ชัดเจนในการดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากไทยเป็นประเทศส่งออก แน่นอนว่าอยากเห็นเงินบาทอ่อนค่า โดยปัจจุบันเงินทุนไหลเข้ามาค่อนข้างเยอะ ดังนั้น จึงต้องมีวิธีบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป แต่ก็ต้องไม่อ่อนค่าจนมากเกินไปด้วยเช่นกัน”

นายพิชัยกล่าวว่า รัฐบาลได้เร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวได้ราว 2.6-2.8% ขณะที่ในปี 2568 ต่างชาติประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ถึง 3% แต่ทั้งนี้ หากรัฐบาลเร่งดำเนินการบางอย่าง ก็มีโอกาสเห็น GDP ขยายตัวได้ถึง 4% แต่หากมีการเร่งทำงานอย่างเต็มที่ ก็เป็นไปได้ที่จะเติบโตถึง 5% ส่วนหนึ่งต้องมาจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่จะต้องเดินไปด้วยกัน ภายใต้อัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสม

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า สิ่งที่โลกกำลังจะเจอในระยะข้างหน้า ไม่ใช่ความเสี่ยง แต่จะเป็นความไม่แน่นอน ซึ่งคาดเดาได้ยากกว่า โดยความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว มีอยู่ 2-3 เรื่อง คือ 1.การแยกตัวของการค้าที่เพิ่มขึ้น 2.นโยบายเศรษฐกิจประเทศหลัก ที่หลังจากโควิด-19 นโยบายไปคนละทิศทาง และความเร็วที่ต่างกัน

ADVERTISMENT

“นโยบายสหรัฐที่คาดว่าจะต้องเห็นแน่ ๆ ไม่ว่าจะมาช้าหรือเร็ว ก็คือ การตั้งกำแพงภาษี นโยบายลดภาษีต่าง ๆ และลดรายจ่ายที่ทำได้น้อย จะนำไปสู่การขาดดุลการคลังมากขึ้น และการลักลอบการเข้าเมือง ซึ่งทั้ง 3 นโยบายนี้จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะเข้ากรอบได้ ก็ทำได้ยากขึ้น ดังนั้น การทำนโยบายการเงินก็จะยากขึ้น”

และ 3.Markets & Pricing of Risk จะเห็นว่าหุ้น NVDIA มีมูลค่าถึง 3.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหุ้นเพียงตัวเดียวมีมูลค่าตลาดมากกว่าตลาดหุ้นในประเทศแคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี เป็นต้น ดังนั้นการคำนวณความเสี่ยงของตลาดจะมีมากพอหรือไม่ เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตาม เพราะโอกาสที่โลกจะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมีมากขึ้น

ADVERTISMENT

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า การดำเนินนโยบาย Resiliency ไม่ใช่แค่เสถียรภาพ แต่กว้างกว่านั้น คือ จะต้องมีความทนทาน ยืดหยุ่น ล้มแล้วลุกเร็ว ปรับตัว โดยเศรษฐกิจจะ Resilient ได้ ต้องมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.เสถียรภาพ นโยบายการเงินจะต้องเหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ไม่ใช้เพียงอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียว ต้องดูจาก Outlook Dependent มากกว่า Data Dependent ซึ่งมีความผันผวน 2.มีภูมิคุ้มกันทางการเงิน และทางเลือกอื่น ๆ และ 3.เติบโตจากโอกาสใหม่