ไพบูลย์ แนะโมเดลเก็บภาษี VAT มากกว่าหนึ่งอัตรา ตอบโจทย์ประเทศที่สุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร

ไพบูลย์ นลินทรางกูร กูรูตลาดทุนแนะโมเดลเก็บภาษี VAT มากกว่าหนึ่งอัตรา ตอบโจทย์ประเทศที่สุด เสนอรัฐบาล อัตรา VAT มาตรฐานอาจกำหนดที่ 10% แต่สำหรับสินค้าและบริการที่จำเป็นบางประเภทอาจลดเหลือ 5% เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ชี้นอกจากจะลดแรงต่อต้าน ยังน่าจะได้คะแนนนิยม ส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น 15%

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จํากัด ในฐานะกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุข้อความว่า เก็บภาษี VAT หลายอัตราน่าจะตอบโจทย์ที่สุด

ภาษี VAT กำลังเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง ภายหลังรัฐมนตรีคลังเปิดเผยแนวคิดการปฎิรูปโครงสร้างภาษี ด้วยสูตร 15:15:15 ซึ่งประกอบไปด้วย (1) การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% เป็น 15% (2) การจัดเก็บภาษีบุคคลธรรมดาอัตราเดียวที่ 15% และ (3) การปรับเพิ่มภาษีบริโภค หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 15%

รัฐมนตรีคลังให้เหตุผลถึงความจำเป็นในการเพิ่ม VAT ว่าอัตราปัจจุบันที่ 7% ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับทั่วโลกที่จัดเก็บที่อัตรา 15-25% นอกจากนั้น หากเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จะช่วยให้คนมีฐานะดีจ่ายภาษีตามยอดการใช้จ่ายได้มากขึ้น ทำให้รัฐบาลมีเงินนำส่งเพิ่มขึ้น และส่งผ่านงบประมาณแผ่นดินลงไปช่วยคนที่มีรายได้น้อยได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน ทำให้มาตรการด้านสาธารณสุข ที่อยู่อาศัย การศึกษา การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ดีตามมาด้วย

ส่วนที่มาของอัตราภาษี VAT ที่ 15% รัฐมนตรีคลังกล่าวว่าเป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้น ยังจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเป็นเรื่องที่อ่อนไหว ซึ่งขณะนี้กระทรวงคลังยังอยู่ระหว่างรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย

โดยส่วนตัว ผมเห็นด้วยกับการปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพราะรายได้รัฐบาล (ซึ่งกว่า 90% มาจากเม็ดเงินภาษี) คิดเป็นสัดส่วนเพียง 15% ต่อ GDP ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 29% (ปี 2021) ส่งผลให้รัฐบาลมีงบประมาณน้อยมากที่เหลือไว้ใช้เพื่อการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน

ADVERTISMENT

ปัญหาใหญ่สุดคือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีจำนวนผู้เสียภาษี 4.2 ล้านคน คิดเป็นเพียง 10% ของกำลังแรงงานไทยทั้งหมด 40.2 ล้านคน แปลว่ามีคนไทยที่ได้รับค่าจ้างถึง 36 ล้านคน ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ส่งผลให้สัดส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทย คิดเป็นเพียง 2% ต่อ GDP เทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิก OECD ที่ 8% หรือต่ำกว่าถึง 4 เท่า

โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้มีการหลบเลี่ยงภาษีได้น้อยที่สุด การออกกฎหมายบังคับให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษี ไม่ว่าจะมีเงินได้เท่าไหร่หรือไม่มี น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อให้บังคับให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในระบบภาษี โดยนอกจากจะกำหนดโทษสำหรับผู้ไม่ยื่นแบบ​ ยังควรตัดสิทธิผู้ไม่ยื่นแบบให้ไม่สามารถรับสวัสดิการจากรัฐได้

ADVERTISMENT

อัตราภาษีก็ควรมีการปรับลดลง เพื่อลดแรงจูงใจในการหลบเลี่ยง และควรปิดช่องโหว่ของความลักลั่นระหว่างอัตราสูงสุดของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ 35% และภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 20% ที่เอื้อให้เจ้าของกิจการรับเงินเดือนน้อย เพื่อไปเสียภาษีกำไรจากกิจการแทน

มุมมองส่วนตัว ผมคิดว่าภาษีบุคคลธรรมดาอัตราเดียว อาจจะยังไม่เหมาะสมสำหรับบริบทประเทศไทยในเวลานี้ แต่อาจเริ่มใช้ได้ในระยะยาวเมื่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนไทยเริ่มแคบลง

ผมเห็นด้วยกับภาครัฐที่อยากเพิ่มเม็ดเงินที่ได้รับจากภาษี VAT เพราะเป็นภาษีที่เก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด หลบเลี่ยงได้ยากที่สุด และเป็นธรรมที่สุด คือบริโภคมากจ่ายมาก บริโภคน้อยจ่ายน้อย

ที่ผ่านมาที่เราเก็บ VAT ได้ไม่มากเท่าที่ควร ไม่ใช่ปัญหาการจัดเก็บ แต่เป็นเพราะอัตราภาษีที่ต่ำเกินไป ทั้งที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 10% แต่ไม่มีรัฐบาลไหนที่กล้าจัดเก็บในอัตรานั้น เพราะทุกครั้งที่มีการพูดถึงการขึ้น VAT ก็จะมีแต่เสียงต่อต้านออกมาทันที

การกำหนดอัตรา VAT อัตราใหม่อัตราเดียวที่ทุกคนยอมรับได้ น่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก และอาจไม่มีวันทำได้ ถ้ารัฐไม่มี Political Will (เจตจำนงทางการเมือง) ที่มุ่งมั่นพอ

ผมอยากเสนอให้รัฐบาลลองศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี VAT ให้มีมากกว่าหนึ่งอัตรา สำหรับสินค้าและบริการที่ต่างกัน ซึ่งผมเชื่อว่าจะทำได้ง่ายกว่า และเป็นการตอบโจทย์ประเทศได้ดีกว่า

ยกตัวอย่างเช่น อัตรา VAT มาตรฐานอาจกำหนดที่ 10% แต่สำหรับสินค้าและบริการที่จำเป็นบางประเภทอาจลดเหลือ 5% เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งนอกจากจะลดแรงต่อต้าน ยังน่าจะได้คะแนนนิยมอีกด้วย เพราะทำให้สินค้าที่จำเป็นมีราคาถูกลง ส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น 15% เป็นต้น

หลายประเทศก็มีการใช้อัตราภาษี VAT หลายระดับสำหรับสินค้าและบริการที่แตกต่างกัน เพื่อสะท้อนนโยบายทางสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงการสร้างรายได้จากภาษี ด้านล่างเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีโครงสร้างภาษี VAT หลายระดับ:

จีน: มีอัตรา VAT มาตรฐานที่ 13% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ และอัตราลดที่ 9% และ 6% สำหรับสินค้าและบริการบางประเภท เช่น อาหารและบริการขนส่ง

ญี่ปุ่น: มีอัตรา VAT มาตรฐานที่ 10% และอัตราลดที่ 8% สำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์

เยอรมนี: อัตรามาตรฐานอยู่ที่ 19% และอัตราลดอยู่ที่ 7% สำหรับสินค้าเช่น อาหารและหนังสือ

อิตาลี: อัตรามาตรฐานอยู่ที่ 22% มีอัตราลดที่ 10%, 5% และอัตราลดพิเศษที่ 4% สำหรับสินค้าจำเป็นบางประเภท

สหราชอาณาจักร: หลัง Brexit สหราชอาณาจักรมีอัตรา VAT มาตรฐานที่ 20% อัตราลดที่ 5% สำหรับสินค้าและบริการเฉพาะ และอัตรา 0% สำหรับสินค้าจำเป็น เช่น อาหารส่วนใหญ่และเสื้อผ้าสำหรับเด็ก

แน่นอนการเก็บภาษี VAT หลายอัตราน่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร แต่ผมเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และถ้าออกแบบดี ๆ น่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในระยะยาว