
คอลัมน์ : นั่งคุยกับห้องค้า ผู้เขียน : ดร.กอบสิทธิ์ ศิลปชัย, ซาร่า ผลพิบูลย์ ธนาคารกสิกรไทย
หากจะถามว่าเศรษฐกิจไทยพึ่งพาประเทศอะไรมากที่สุด คำตอบก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจีนจะเป็นตลาดส่งออกสินค้าหลักของไทยแล้ว ยังนับเป็นนักท่องเที่ยวชาติที่เดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับหนึ่งในปี 2019 ที่เกือบ 11 ล้านคน หนุนดุลบัญชีเดินสะพัดไทยเกินดุลแตะระดับ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
โดยการมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลก็เสมือนว่าไทยได้กำไรจากการขายสินค้าและให้บริการกับต่างชาติ ทำให้ความต้องการถือครองเงินบาทเพิ่มขึ้น หนุนเงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในตอนนั้น ซึ่งหากเทียบกับปี 2024 ที่ประเมินว่าไทยจะมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพียงราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่เห็นเงินบาทอยู่ที่ราว 33-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
แล้วเราจะมีโอกาสได้เห็นดุลบัญชีเดินสะพัดไทยที่เกินดุลสูงและเงินบาทที่แข็งค่าขนาดนั้นอีกหรือไม่ ? ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปมากตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 โดยจีนได้เผชิญสองศึกหนักในเวลาที่ใกล้เคียงกัน เริ่มจากโควิดที่จีนได้รับผลกระทบจากการระบาดอย่างหนัก
ถึงขั้นที่รัฐบาลสั่งปิดเมืองเป็นเวลาหลายเดือน ก่อนจะถูกซ้ำเติมโดยวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ถาโถมเข้ามา หลังบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่างเอเวอร์แกรนด์ล่มสลาย สิ่งนี้ได้ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวจีนดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากชาวจีนนิยมเก็บความมั่งคั่งไว้ในที่อยู่อาศัย
ฉะนั้น เมื่อคนยังไม่มั่นใจที่จะใช้จ่าย แล้วจะออกมาท่องเที่ยวนอกประเทศมากเช่นเดิมหรือ ในขณะที่ภาคการผลิตของจีนก็พยายามเร่งผลิตเพื่อพยุงเศรษฐกิจชดเชย แต่เมื่อขายคนในประเทศได้ไม่หมด ก็ต้องส่งออกมาแทน และไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่นำเข้าสินค้าจีนเยอะขึ้น
ด้านรัฐบาลจีนก็พยายามเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาสสามที่ผ่านมา อาทิ การลดสัดส่วนเงินดาวน์บ้านเพิ่ม การลดดอกเบี้ยเงินกู้บ้านและดอกเบี้ยในภาคการเงิน รวมถึงการหาวิธีการให้รัฐบาลท้องถิ่นมีเงินทุนในการสานต่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ เพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
มาตรการเหล่านี้อาจทำให้เศรษฐกิจจีนทยอยฟื้นขึ้นมา แต่ก็คงไม่ใช่เพียงชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนมีสัญญาณดีขึ้นเข้าสู่ไตรมาสที่สี่ แต่ก็ยังเปราะบางอย่างมาก ฉะนั้น ก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่ารัฐบาลจีนจะงัดมาตรการอะไรออกมาช่วยอีก ซึ่งตลาดค่อนข้างคาดหวังพอสมควรว่าจะมีมาอีกแน่นอน และคาดว่าจะถูกประกาศในเดือนธันวาคม
จากสิ่งที่จีนกำลังเผชิญอยู่ก็ทำให้ไทยได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาไทยปีนี้ยังคงต่ำกว่าที่เห็นก่อนเกิดโควิดกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ขณะที่การทะลักของสินค้าจีนก็ทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งทั้งสองปัจจัยส่งผลกดดันการเกินดุลของบัญชีเดินสะพัดไทย
และในปี 2025 ก็มีแนวโน้มที่แรงกดดันจะคงอยู่ และดุลบัญชีเดินสะพัดไทยจะยังเกินดุลไม่ถึงครึ่งของระดับก่อนโควิด ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐ ภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประเมินว่าจะกระทบจีนอย่างมาก ซึ่งอาจสะท้อนผ่านค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าเกือบ 2% หลังรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐ แตะระดับ 7.27 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบหนึ่งปี
ด้วยความที่ไทยพึ่งพาจีนมาก ค่าเงินบาทก็มีความสัมพันธ์กับเงินหยวนมากพอสมควร จึงมีแนวโน้มสูงที่เงินบาทจะได้แรงกดดันหนักตามไปด้วย ประกอบที่ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยคาดจะยังเกินดุลต่ำห่างไกลระดับ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐก่อนโควิดอยู่มาก
ทำให้เงินบาท ณ สิ้นปี 2025 มีแนวโน้มที่จะอยู่ฝั่งอ่อนค่าเมื่อเทียบกับปีนี้