
ตลท. เผย หุ้นไทยเดือน พ.ย. SET Index ปิดที่ 1,427.54 จุด ลดลง 2.6% เป็นไปตามตลาดภูมิภาค มองหุ้นไทยโค้งท้าย มีเม็ดเงินกองทุน TESG-วายุภักษ์ไหลเข้า ดันดัชนี แนะจับตานโยบายการเงิน โดยเฉพาะการปรับลดดอกเบี้ยเฟด หลังทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง อาจตึงตัวสร้างความผันผวนตลาดทุนทั่วโลกในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ เดือน พ.ย. 2567 มองว่าเป็นเดือนวัดใจ โดยตลาดหุ้นสหรัฐ และ Bitcoin ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นนักวิเคราะแสดงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายด้านการค้าที่จะเพิ่มสูงขึ้น หากทรัมป์ดำเนินนโยบายกำแพงภาษีกับจีนรุนแรงตามที่หาเสียงอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้เงินลงทุนบางส่วนย้ายไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งหากการกีดกันการค้าทำให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงช้ากว่าคาด มีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะต้องเลื่อนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่อาจกลับมาสูงไปอีกสักระยะ
ซึ่งนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากกว่าที่คาดการณ์อาจส่งผลกระทบต่อความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
ซึ่งหากพิจารณาช่วงทรัมป์ 1.0 ในปี 2560 เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งกว่าปัจจุบัน สังเกตจากการเติบโตของ GDP และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 3/2567 ขยายตัว 3.0% ทำให้ GDP โดยรวม 9 เดือนแรกปี 2567 ขยายตัว 2.3% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
อีกทั้งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับเพิ่มแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 ไปอยู่ที่ 2.6% จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐ ขณะที่บริษัทจดทะเบียนรายงานผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2567 มีรายได้เพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจากปีก่อน แต่ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีกำไรสุทธิลดลง
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยประเมินว่าเดือนนี้จะปรับเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน ส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ รวมถึงกองทุน TESG ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนทยอยซื้อเพื่อนำไปหักลดหย่อนภาษี ซึ่งมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี ตลาดหุ้นเริ่มย่อตัวลง ในช่วงที่คนต้องซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี
“เริ่มเห็นสัญญาณเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด สองเดือนติดต่อกัน (ต.ค.-พ.ย.) และคาดว่าในช่วงเดือนสุดท้ายของปีจะมากกว่า 10% เช่นกัน“
สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนพฤศจิกายน 2567 ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 SET Index ปิดที่ 1,427.54 จุด ลดลง 2.6% จากสิ้นเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.8% โดยในเดือนพฤศจิกายน กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 มีเพียงกลุ่มเดียว ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี
สำหรับ Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 อยู่ที่ระดับ 16.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.6 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 19.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า
ด้านอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 อยู่ที่ระดับ 3.34% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ 3.10%
สำหรับภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนพฤศจิกายน 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 487,638 สัญญา ลดลง 4.2% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 479,145 สัญญา ลดลง 10.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures