ปลดล็อกหนี้ครัวเรือน 9 แสนล้าน ฟื้นกำลังซื้อ-ลุยต่อแก้หนี้ “น็อนแบงก์”

unlock

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เดินหน้าเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2567 ไปจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 2568 โดยโครงการนี้ออกมาเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน 16 ล้านล้านบาท ที่มีสัดส่วนกว่า 89.6% ของ GDP ที่เริ่มไหลเป็นหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) มากขึ้น ด้วยการแก้ปัญหาหนี้ให้กับประชาชนรายย่อยและธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชี เป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท

เดินหน้าแก้หนี้ผ่าน 2 มาตรการ

ทั้งนี้ “คุณสู้ เราช่วย” เป็นความร่วมมือกันของรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Nonbank) บางแห่ง

ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก คือ มาตรการแรก “จ่ายตรง คงทรัพย์” มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ ได้แก่ สินเชื่อบ้าน/บ้านแลกเงิน วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อ/จำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงินไม่เกิน 8 แสนบาท สินเชื่อเช่าซื้อ/จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาท และสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้ ต้องเป็นสินเชื่อที่ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นหนี้ที่ค้างชำระ (ณ 31 ต.ค. 2567) เกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน หรือเป็นหนี้ที่ไม่ค้างชำระ หรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565

กราฟฟิก ปลอดล็อกหนี้

โดยการช่วยเหลือตามมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” คือ จะลดค่างวดเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยปีแรกจะลดค่างวดที่ 50% ปีที่สอง 70% และปีที่สาม 90% โดยจะนำค่างวดทั้งหมดไปตัดเงินต้น ส่วนดอกเบี้ยจะพักไว้ เป็นระยะเวลา 3 ปี และจะยกเว้นทั้งหมดให้ หากลูกหนี้ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดสัญญาในช่วงที่อยู่ในมาตรการ

ADVERTISMENT

ส่วนมาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” เป็นการช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่สูง ไม่เกิน 5,000 บาท (ณ 31 ต.ค. 2567) ไม่จำกัดประเภทสินเชื่อ และสามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชี

โดยลูกหนี้จะต้องเข้ามาเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้บางส่วน หรือ 10% ของยอดหนี้ค้าง จากนั้นเจ้าหนี้จะปิดบัญชี และสถานะลูกหนี้จะเป็นบัญชีปกติ สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก “หนี้เสีย” เป็น “ปิดจบหนี้” และเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้

ADVERTISMENT

เงื่อนไขต้องหยุดก่อหนี้ 1 ปี

“สุวรรณี เจษฎาศักดิ์” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. ระบุว่า มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” กำหนดเงื่อนไขให้ชำระ 50% จะทำให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเหลือในปีแรก และกำหนดให้หยุดก่อหนี้ 1 ปี ซึ่ง 2 เงื่อนไขนี้หากทำได้ จะยกดอกเบี้ยให้ทั้ง 3 ปี แต่หากทำไม่ได้ จะต้องออกจากมาตรการ อย่างไรก็ดี ในส่วนเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีให้เป็นดุลพินิจของเจ้าหนี้ เนื่องจากอาจจะมีออร์เดอร์เข้ามาระหว่างมาตรการ

ขยับหนี้บ้าน-SMEs ไม่เกิน 5 ล้าน

ขณะที่การที่ขยับวงเงินสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อเอสเอ็มอี เป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท จากเดิมไม่เกิน 3 ล้านบาทนั้น เนื่องจากในช่วง 5-6 เดือนล่าสุด เห็นตัวเลขหนี้ในกลุ่มหนี้ 3-5 ล้านบาท เริ่มไหลเป็น SM และเอ็นพีแอลมากขึ้น จากก่อนหน้านั้นจะเป็นกลุ่มไม่เกิน 3 ล้านบาทเป็นหลัก ดังนั้น การออกมาตรการ จึงอยากให้จบในครั้งเดียว จึงมีการขยับวงเงินเพิ่มจากเดิม

ดึง “น็อนแบงก์” ร่วมช่วยลูกหนี้

ทั้งนี้ มาตรการจะครอบคลุมลูกหนี้ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และกลุ่ม Nonbank ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งสิ้น 45 แห่ง

อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป จะมีผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม Nonbank อื่น ๆ เข้ามาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไป เพื่อร่วมกันผลักดันให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างและครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น

“สุวรรณี” กล่าวด้วยว่า สำหรับลูกหนี้ที่ชำระดีนั้น ธปท. อยู่ระหว่างผลักดันให้สถาบันการเงินพิจารณาให้สินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ตามความเสี่ยงที่ลดลง

กสิกร หนุนแก้หนี้ประคองลูกค้า

นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณในทางที่ดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่จากวิกฤตต่าง ๆ ที่ต่อเนื่องยาวนานมาหลายปีอาจทำให้ลูกค้ามีสภาพคล่องทางการเงินลดลง เห็นได้ชัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมีความห่วงใยและพยายามให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด

“ในครั้งนี้ธนาคารมีความยินดีร่วมโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ เพื่อช่วยประคับประคองลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจจนกว่าจะผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้ ซึ่งเมื่อลงทะเบียนสำเร็จ ธนาคารจะเริ่มติดต่อลูกค้าตั้งแต่ 2 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป”

คลังลุยเฟส 2 เติมเงิน 1 ล.ล้าน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีโจทย์ที่จะช่วยเหลือเป็นเฟส 2 ในการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่มั่นใจว่าจะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งระยะต่อไปรัฐบาลจะพิจารณาเติมเงินเข้าไปช่วยผู้เข้าไม่ถึงสินเชื่อที่อยู่ในชนบทผ่านกลไกแบงก์รัฐ เกือบ 1 ล้านล้านบาท ส่วนธนาคารพาณิชย์ จะมีการหารือร่วมกันอีกครั้ง เพื่อหาแนวทางดำเนินนโยบายการให้สินเชื่อผ่อนปรน

ผลบวกต่อภาค อสังหา-ยานยนต์

ด้าน “ธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มาตรการพักชำระดอกเบี้ย และเงินต้น จะทำให้ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ฟื้นตัวได้ดีขึ้น สินทรัพย์บ้านและรถยนต์ราคาจะไม่ลดลงจากปัญหาการถูกขายทอดตลาด ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีก็จะสามารถประคองธุรกิจต่อไป และรักษาการจ้างงานโดยไม่ปลดคนงาน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์จะผ่อนปรนการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

จากทั้งหมดนี้ แม้ว่ามาตรการจะไม่ได้ทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงทันควัน แต่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้เสียในระบบ ให้ลูกหนี้กลับมาหายใจได้อีกครั้ง และมีโอกาสที่จะฟื้นแล้วเดินต่อไปได้นั่นเอง