โบรกฯคาด FED ลดดอกเบี้ย หนุนค่าเงินบาท ดึงโฟลว์ไหลเข้าไทย

ธนบัตร แบงก์

บล.เอเซียพลัส คาด FED ลดดอกเบี้ย 0.25% กนง.คงดอกเบี้ยที่ 2.25% หนุนค่าเงินบาทชะลอการอ่อนค่าในเชิงเปรียบเทียบ หนุนให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าไทยได้ ภาพรวม SET INDEX เน้นสะสมหวังผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาว

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้มีการประชุมธนาคารกลางหลายแห่ง อาทิ

– ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 18 ธ.ค. 2567 (ก่อนประชุมธนาคารกลางสหรัฐ) โดย CONSENSUS คาดว่าจะ “คงดอกเบี้ย” ไว้ที่ระดับ 2.25% หลังเซอร์ไพร์สลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา

– ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กำหนดประชุมเฟดวันที่ 18 ธ.ค. 2567 (หรือวันที่ 19 ธ.ค. เวลา 02.00 น. ตามประเทศไทย) โดย CONSENSUS คาดว่าจะเห็นการปรับ “ลดดอกเบี้ย” ลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.5%

– ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) กำหนดประชุม BOE วันที่ 19 ธ.ค. 2567 โดย CONSENSUS คาดว่าจะเห็นการ “คงดอกเบี้ย” ไว้ที่ระดับ 4.75% และ

– ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กำหนดประชุม BOJ วันที่ 19 ธ.ค. 2567 โดย CONSENSUS คาดว่าจะเห็นการ “คงดอกเบี้ย” ไว้ที่ระดับ 0.25%

ADVERTISMENT

เมื่อพิจารณาอัตราผลตอนแทนพันธบัตรรัฐบาล (BOND YIELD) อายุ 10 ปีของสหรัฐ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการขยับขึ้นราว 25 BPS สู่ระดับ 4.4% จากประเด็นตัวเลขเงินเฟ้อ PPI ล่าสุดดีดตัว ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อ PCE จะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม บอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปี ในระยะถัดไปมีโอกาสย่อตัวลงได้ การส่งสัญญาณจากเจ้าหน้าที่เฟดค่อนข้างมั่นใจว่าเงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลง เข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ในภาพระยะยาว ทำให้ตลาดคาดว่าการประชุม FED ครั้งสุดท้ายของปีนี้ ดอกเบี้ยจะลดลงมาอยู่ที่ 4.5% สวนทางกับไทยที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25%

ADVERTISMENT

ภาวะดังกล่าวน่าจะหนุนให้ GAP ระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปีของสหรัฐ-ไทย มีแนวโน้มลดลง และเชื่อว่าจะส่งผลให้ค่าเงินบาทชะลอการอ่อนค่าลงได้

“สรุปกรณีที่ดอกเบี้ยสหรัฐปรับตัวลดลง แต่ไทยยังคงดอกเบี้ย น่าจะกดดัน DOLLAR INDEX ปรับตัวลดลง และทำให้เงินบาทชะลอการอ่อนค่าในเชิงเปรียบเทียบ ซึ่งเชื่อว่าจะหนุนให้เงินทุนต่างชาติ (FUND FLOW) ไหลเข้าไทยได้”

โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินในแต่ละประเทศในเอเชียอ่อนค่าลง ซึ่งค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลง 0.92% ปิดล่าสุด 34.11 บาท/เหรียญ เนื่องจากความกังวลนโนบาย TRUMP 2.0 ต่อการขึ้นกำแพงภาษีประเทศต่าง ๆ สอดคล้องกับโฟลว์ต่างชาติที่ขายสุทธิในสัปดาห์ที่ผ่านมาทุกประเทศ

หากพิจารณาเฉพาะประเทศไทย จะเห็นได้ว่าโฟลว์ต่างชาติยังขายสุทธิทั้งตลาดตราสารหนี้ไทยและหุ้นไทย จึงทำให้ภาพรวมดัชนี SET ไม่สามารถขยับตัวขึ้นได้มากนัก และหุ้นส่วนใหญ่จะแกว่งตัวในทิศทางขาลง

ประเด็นดังกล่าวกดดันให้มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยเดือน ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท (-9.3% MOM) เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ภาพรวมในระยะกลาง-ยาวของ SET INDEX ยังคงน่าทยอยสะสมหลังจากที่ภาพการคาดการณ์กำไรปี 2567 สอดคล้องกับผลตอบแทน YTD กล่าวคือหุ้นกลุ่มใดที่กำไรเติบโตเด่นในปี 2567 ดัชนีหุ้นกลุ่มนั้นมักให้ผลตอบแทนบวกแรงตั้งแต่ต้นปี (YTD) อาทิ AGRI, ICT และ ETRON ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มใดที่กำไรไม่เติบโตในปี 2567 ดัชนีหุ้นกลุ่มนั้นมักให้ผลตอบแทนลบแรงตั้งแต่ต้นปี (YTD) เช่นกัน

ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง-ยาว เน้นหุ้นกลุ่มที่มีการคาดการณ์กำไร 2568 เติบโตเด่น YOY อาทิ PETRO (TURNAROUND), CONS (TURNAROUND), MEDIA (TURNAROUND), ICT (+47%), CONMAT (+38%), PERSON (+30%), TOURISM (+23%) และ ENERG (+20%) เป็นต้น ซึ่งรายชื่อหุ้นในกลุ่มดังกล่าวที่มีการคาดการณ์กำไรปี 2568 เติบโตเด่น YOY เช่นกัน ได้แก่ IVL, PTTGC, STECON, ITD, VGI, TRUE, JMART, SCC, TASCO, STGT, IRPC, BCP

“สรุปภาพรวมดัชนี SET ในช่วงสั้นยังไร้โฟลว์หนุน กดดันดัชนีขยับขึ้นยาก และวอลุ่มซื้อขายที่เบาบางลง ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนเน้นสะสมหุ้นที่มีการคาดการณ์กำไรปี 2568 เติบโตเด่น YOY เช่นกัน ได้แก่ IVL, PTTGC, STECON, ITD, VGI, TRUE, JMART, SCC, TASCO, STGT, IRPC, BCP เพื่อหวังผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาว”