‘ศุภวุฒิ’ ลั่นนโยบายการเงินปี’68 ต้องรับบท ‘กองหน้า’ หนุนเศรษฐกิจแทนคลัง

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

“ศุภวุฒิ” ประธานสภาพัฒน์ มองเศรษฐกิจปี’68 ขยายตัวใกล้เคียง 3% แรงหนุนภาคการท่องเที่ยว-ส่งออก-ใช้จ่ายภาครัฐ คาด กนง.ลดดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี จับตานโยบายการเงิน รับบทเป็น “กองหน้า” ครึ่งหลังของปี’68 หลังนโยบายการคลังถอย เหตุต้องการลดประมาณขาดดุลงบประมาณ ปรับโครงสร้างภาษี-ลดค่าใช้จ่าย

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ในระดับใกล้เคียง 3% จากปี 2567 ที่น่าจะเติบโตได้ 2.7% โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 4/2567 จะขยายตัวได้ 4% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการขยายตัวของการส่งออก

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในปี 2568 ปัจจัยมีแนวโน้มยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ และความเสี่ยงของภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ปัจจัยบวกมีอยู่ 4 ด้าน ได้แก่ 1.การส่งออกสินค้าซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของจีดีพี โดยการส่งออกของไทยไปสหรัฐเท่ากับเกือบ 10% ของจีดีพี จะมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโอกาสที่มีผลกระทบทางลบ หรือความเสียหาย (Downside Risk) มาก และตลาดยุโรปกับจีนก็ดูจะไม่แข็งแรง

2.การท่องเที่ยวคงจะฟื้นตัวต่อไป คือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2568 น่าจะกลับไปที่ 40 ล้านคน เท่ากับปริมาณก่อนการระบาดของโควิด-19 แต่รายจ่ายต่อหัวจะยังต่ำกว่า

และ 3.แรงกระตุ้นจากภาครัฐคงจะมีต่อเนื่องถึงประมาณกลางปีหน้า จากการแจกเงินก้อนสุดท้าย และการเร่งใช้งบฯลงทุน แต่การที่รัฐมนตรีคลังพูดถึงการเก็บภาษีเพิ่ม แปลว่านโยบายการคลังน่าจะตึงตัวขึ้น และ

4.นโยบายการเงินนั้น ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพราะเงินเฟ้อต่ำมาก แต่ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยังคงจะส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ และธนาคารพาณิชย์เองก็คงจะต้องใช้เวลากับการแก้หนี้เสียที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ดังนั้น แนวโน้มของการลดลงของสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ (Debt Deleveraging) ก็จะยังดำเนินต่อไปในปี 2568

ADVERTISMENT

“โดยในช่วงครึ่งหลังของปีจะเห็นว่านโยบายการคลังจะเริ่มถอย เพราะต้องการลดขาดดุลงบประมาณการคลัง ผ่านนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีและลดค่าใช้จ่าย และ ธปท.จะเห็นภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่ต่อเนื่อง และจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวกระท่อนกระแท่น โดยนโยบายการเงินตึงตัวเกินไป ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่า ธปท.ปรับลดดอกเบี้ยลงมาถึงระดับ 1.50% ต่อปี”

ดร.ศุภวุฒิกล่าวต่อว่า ในช่วงที่นโยบายการคลังเริ่มลดบทบาทจาก “กองหน้า” ทำให้นโยบายการเงินจะต้องขึ้นมาเล่นบทบาท “กองหน้า” แทนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงมั่นใจตัวเอง และยังไม่ได้ลงมาอยู่ในสนาม แต่หาก ธปท.เห็นภาพเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกระท่อนกระแท่น และจะปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่ เพราะตอนนี้นโยบายการเงินตึงตัวเกินไป ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดดอกเบี้ยภายในสิ้นปี 2568 ไปอยู่ที่ระดับ 1.50% ต่อปี โดยในปี 2567 ในการประชุมวันที่ 18 ธันวาคมนี้ กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 2.25% ต่อปี

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.จะอยู่ภายใต้การยึดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) อยู่ที่ 1-3% แต่หากคิดค่ากลางจะอยู่ที่ระดับ 2% หากย้อนดูข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อของไทยไม่เคยอยู่ตรงกลาง แม้ว่าในช่วงโควิด-19 จะดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นค่าเฉลี่ย 1% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ซึ่งเป็นการสะท้อนว่า “นโยบายการเงินตึง” เกินไป ดังนั้น หากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.3-0.4% ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่ระดับ 2% ซึ่งมองว่าระดับ 2% ยังเป็นระดับที่สูงเกินไป

นอกจากนี้ ในภาวะนโยบายการเงินในต่างประเทศ หรือธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า สิ่งที่ตามมาคือ เงินบาทอ่อนค่า เพราะเงินเฟ้อสหรัฐ อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง แต่ไทยมองว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวเงินเฟ้อสูง ส่วนหนึ่งมาจากจีนกดเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อไทยไม่ได้สูงไปด้วย ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องกลัวบาทอ่อนค่า เพราะเชื่อว่าเอื้อภาคการส่งออกและไม่ได้เสียหาย

“นโยบายการเงินเรามีเป้าเงินเฟ้อ และคุมด้วยดอกเบี้ย เป็นนโยบาย Inflation Targeting แปลว่าอัตราแลกเปลี่ยนสามารถแกว่งได้ โดยปีหน้าอัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศและพ่วงความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ และเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ มีนโยบายการเงิน คือเป้าอยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ตัวที่ผันผวนคือเงินเฟ้อ ดังนั้น นโยบายการเงินจะต้องอิงอันใดอันหนึ่ง และยอมรับว่าอีกด้านจะผันผวน จะอิงทั้ง 2 อย่างไม่ได้”