
EXIM BANK ลุยธุรกิจใหม่ “วาณิชธนกิจ” ยกระดับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน-ค้ำประกันหุ้นกู้ หวังช่วยลูกค้าลดต้นทุน-เพิ่มช่องทางระดมทุน คาดได้ไลเซนส์ครบต้นปี’68 เน้นสนับสนุนลูกค้าออกบอนด์ด้านความยั่งยืน คาดช่วยหนุนรายได้ค่าฟีในอนาคต
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบันธนาคารได้เพิ่มสายงาน “ธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB)” ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ผ่านบริการ “ที่ปรึกษาทางการเงิน” และ “การค้ำประกันหุ้นกู้” (Bond Guarantee) ให้ผู้ประกอบการที่ต้องการระดมทุนในการออกหุ้นกู้-ตราสารหนี้เกี่ยวกับ ESG ทั้ง Green Bond และ Blue Bond ให้มีต้นทุนที่ต่ำลง

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังตั้งฝ่ายงาน “Business Development” ในการนำธุรกิจไทยร่วมเป็น Green Export Supply Chain เช่น การร่วมมือกับสถาบันการเงินจีน โดยไม่ได้เน้นแข่งขันกับสินค้าจีน แต่จะเน้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชน
“ในปี 2568 เราจะมี Volume ในธุรกิจ IB มากขึ้น หรือการออก Green Bond และ Blue Bond มากขึ้นในเซ็กเตอร์อาหารแปรรูป โดยกลไกสำคัญธุรกิจ IB เรามีวิธีการระดมทุนหลากหลายให้ลูกค้า และมีกองทุน และผสมผสานกับเงินกู้ของแบงก์เข้ามาเพื่อให้ลูกค้ามีต้นทุนที่ต่ำลง รูปแบบการช่วยเหลือจะเป็นการการันตี ซึ่งธุรกิจนี้จะตอบโจทย์หมุดหมายของเราและยกระดับตลาดเงินตลาดทุน”
ดร.รักษ์กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 คือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่สร้างความผันผวน และสงครามการค้า Trade War 2.0 ซึ่งโลกจะแบ่งขั้วเป็น 2 ขั้ว ภายใต้นโยบาย Trump 2.0 ในส่วนของนโยบายภาษีเป็นหลัก ทั้งการลดภาษีนิติบุคคล 15% เพื่อดึงนักลงทุนกลับประเทศ ส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยจะลดลงช้ากว่าเดิมเหลือ 1-2 ครั้ง และค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวแข็งค่าขึ้น
รวมถึงไทยยังเจอปัญหาสินค้าจีน ซึ่งผู้ประกอบการที่อยู่ในเซ็กเตอร์ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ จำเป็นต้องปรับตัวให้ได้
ทั้งนี้ แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ของ EXIM BANK ยังคงตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ ESG เป็น 40% จากเป้าหมายที่จะผลักดันให้ได้ 50% ภายในปี 2570
“มุมธุรกิจเรายังมีหมุดหมายการขยับพอร์ตไปสู่ความยั่งยืน สอดคล้องกับทั่วโลกที่ต้องการเม็ดเงินเพิ่มอีก 6 เท่าในปัจจุบัน โดยเราจะช่วยลูกค้า Go Green ในการเติมความรู้ โอกาส และเงินทุนไปพร้อม ๆ กัน รวมถึงเราจะมีการสร้างโปรดักต์เพิ่มอีก 2 โปรดักต์ ซึ่งกำลังรอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) โปรดักต์ละ 5,000 ล้านบาท เกี่ยวกับโรงแรม และอาหาร”
นายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างขอใบอนุญาต (License) ประกอบธุรกิจวาณิชธนกิจ จำนวน 2 ไลเซนส์ จากหน่วยงานกำกับ โดยเบื้องต้นธนาคารได้รับไลเซนส์ “ที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ FA” เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างรอการอนุมัติไลเซนส์ “การออกตราสารหนี้ิ จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าภายในต้นปี 2568 น่าจะได้รับการอนุมัต”
ทั้งนี้ รูปแบบธุรกิจจะเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องการเงินทุนที่เกี่ยวกับด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม แต่ติดเพดานหลักเกณฑ์วงเงินปล่อยกู้ Single Lending Limit (SLL) ของธนาคาร เช่น ธนาคารปล่อยกู้เต็มเพดาน 8,000 ล้านบาท แต่ลูกค้าต้องการวงเงินอีก 2,000 ล้านบาท ในส่วนนี้ธนาคารจะช่วยลูกค้าในการออกหุ้นกู้ โดยมีธนาคารเป็นผู้ค้ำประกัน เป็น Made by Exim
ซึ่งลูกค้าจะได้รับต้นทุนในการออกหุ้นกู้ต่ำลง เช่น หุ้นกู้เรตติ้ง BBB จะมีต้นทุนในการออกเฉลี่ย 4% หากธนาคารเข้าไป ต้นทุนจะปรับลดลง แต่จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการออกหุ้นกู้ และอุตสาหกรรมหรือเซ็กเตอร์ที่ออก แต่โดยรวมต้นทุนจะปรับลดลงจากเดิม
“จะเห็นว่าหุ้นกู้ส่วนใหญ่ที่เรตติ้งต่ำกว่า A ลงมา หรือ BBB จะขายค่อนข้างยาก ดังนั้น หากธนาคารเข้าไปช่วยค้ำประกันหุ้นกู้จะขายได้ง่ายขึ้น โดยเบื้องต้นจะเน้นขายให้กับนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก เพราะจะสามารถบริหารจัดการง่ายกว่ารายย่อย และได้เม็ดเงินในจำนวนที่มากในครั้งเดียว และจะเน้นทำกับลูกค้าของธนาคารเป็นหลักก่อน”
อย่างไรก็ดี ระยะแรกธนาคารยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายจากธุรกิจ IB แต่เบื้องต้นคาดว่าจะเข้ามาช่วยเรื่องรายได้ค่าธรรมเนียม ซึ่งปัจจุบันธนาคารปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ ทำให้สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียม (Fee Based Income) มีสัดส่วนประมาณ 10% ดังนั้น IB จะเข้ามาช่วยขยายรายได้ด้านนี้มากขึ้น
“ตอนนี้มีดีลอยู่ในมือแล้ว 1 ราย ในการเป็น FA และค้ำประกันหุ้นกู้แล้ว อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าโมเดล IB จะมาช่วยตอบโจทย์ลูกค้าให้มีช่องทางระดมทุนมากขึ้น” นายอิทธิพลกล่าว