หนุนไทยรับเหรียญบิตคอยน์ ใช้แทนเงินสดเมืองท่องเที่ยว

ผู้เชี่ยวชาญด้านคริปโตเคอร์เรนซี มองแนวคิดรัฐบาลให้ศึกษาการใช้บิตคอยน์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี เพื่อใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยว อาทิ หัวหิน หรือภูเก็ต ชี้เป็นเรื่องดีเพื่อส่งเสริมการใช้ให้เป็นระบบ และทำให้ชาวต่างชาติที่ต้องการจับจ่ายจำนวนมาก เช่น ซื้อคอนโดฯ หรือบ้าน ไม่ต้องใช้เงินสดจำนวนมาก โดยไทยมีความพร้อม เผยตัวอย่างนับ 100 ประเทศ กำหนดบางเมืองใช้คริปโตได้ ครอบคลุมทั้งสหรัฐ-สวิตเซอร์แลนด์ และอาร์เจนตินา รวมถึงเมืองดูไบ

จากกรณีนายทักษิณ ชินวัตร เผยแนวคิดของรัฐบาลให้กระทรวงการคลังศึกษาการทำพื้นที่เมืองท่องเที่ยวอย่างเช่น ภูเก็ต-หัวหิน เป็นแซนด์บอกซ์ ใช้บิตคอยน์-คริปโต แทนเงินตราอื่น ๆ พร้อมทั้งการออกเหรียญคริปโต หรือ Stable Coin โดยมีพันธบัตรของรัฐบาลค้ำประกัน เพื่อทำให้เงินไหลเวียนในเศรษฐกิจ สามารถดันจีดีพีปีหน้า 3.5%

เห็นด้วยทำแซนด์บอกซ์

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชันส์ จำกัด ผู้ให้บริการเกตเวย์การชำระเงินดิจิทัล กล่าวว่า การให้มีพื้นที่ทดลองหรือแซนด์บอกซ์สำหรับการใช้บิตคอยน์ หรือคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศ นับว่าเป็นเรื่องดี เนื่องจากการใช้งานบิตคอยน์และคริปโตในประเทศนั้นมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ การส่งเสริมให้มีการใช้อย่างเป็นระบบ จะช่วยดึงเงินที่อยู่นอกระบบกลับเข้าสู่ระบบ

กลุ่มคนที่มีความต้องการใช้บิตคอยน์-คริปโต คือชาวต่างชาติ ในพื้นที่ต่างจังหวัดหลายจังหวัด โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องใช้จ่ายปริมาณมาก เช่น การซื้อคอนโดมิเนียม ซื้อบ้าน ใช้เงินหลายสิบล้าน เขาต้องนำเงินเข้าประเทศ ซึ่งการใช้คริปโตที่ตรวจสอบได้ ช่วยให้เห็นเม็ดเงินเหล่านี้ที่เคยอยู่นอกระบบกลับเข้ามา และในฐานะผู้พัฒนาระบบชำระเงินก็มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการทดสอบ

ไทยพร้อมรับเหรียญคริปโต

นายภาวุธกล่าวด้วยว่า ในเชิงเทคโนโลยีนั้นการชำระเงินด้วยคริปโตมีความพร้อมอยู่ก่อนแล้ว และหลายปีก่อน หลายบริษัทก็พยายามเสนอทางเลือกให้มีการชำระด้วยคริปโต แต่โดนเบรก เพราะอาจจะขัดกับกฎหมายเงินตราที่ทำให้คริปโตมีความเป็น Mean of Payment ความเป็นไปได้คือการทดลองให้บิตคอยน์-คริปโต เป็น Legel Tender ชำระเงินได้ตามกฎหมาย

ในฝั่งของการกำกับดูแลนั้น เรามีกระดานเทรด หรือเอ็กซ์เชนจ์ ที่อยู่ใต้อำนาจของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งอาจต้องขยายบทบาทให้เอ็กซ์เชนจ์ เป็นช่องทางหลักในการเปิดรับ-เก็บรักษาธุรกรรมคริปโต เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ ส่วนนี้จะทำให้การใช้งานคริปโต ที่เดิมอยู่ในกระดานเทรดต่างประเทศให้กลับเข้ามาอยู่ในระบบการตรวจสอบได้

ADVERTISMENT

“ระบบเหล่านี้ไม่ต้องทำใหม่ เพียงแค่ขยายบริการ จากรายเดิมที่มีการกำกับดูแลอยู่แล้ว แต่ส่วนสำคัญคือเมื่อเป็นพื้นที่แซนด์บอกซ์ก็ต้องจำกัดพื้นที่ ในขณะที่การใช้จ่ายในโลกดิจิทัลนั้นระบุได้ยาก เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด ในส่วนนี้ที่ต้องศึกษาผ่านกระบวนการปฏิบัติการต่อไป”

ร้านค้ายังกังวลผันผวนสูง

ด้าน ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน อาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์ม FWX กล่าวว่า ความพยายามทำให้ คริปโตเคอร์เรนซี เป็นช่องทางในการชำระเงินกับร้านค้าทั่วไปนั้น เกิดมานานแล้ว และตอนนี้คงเป็นความพยายามพูดคุยกันภายในหน่วยงานกำกับดูแล

ADVERTISMENT

ปัญหาสำคัญอยู่ในฝั่งของการใช้งาน กล่าวคือร้านค้าจำนวนหนึ่งไม่อยากรับบิตคอยน์-คริปโต เพราะนอกจากจะไม่สามารถลงบัญชีได้ ยังต้องไปหาวิธีการถอน อีกทั้งราคาของบิตคอยน์มีความผันผวนสูง วันต่อมาอาจร่วงถึง 30% ในขณะที่สเตเบิลคอยน์เอง ก็มีความผันผวนในแง่ของค่าเงินเช่นกัน

ในช่วง 3 ปีก่อนจึงมีเอ็กซ์เชนจ์เสนอตัวเป็นตัวกลางแลกสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเข้าบัญชีร้านค้าทันทีที่จ่าย แต่ด้วยความที่การกำกับดูแลยังตามไม่ทัน จึงพับโครงการไปก่อน

ไทยเคยทดลองใช้มาแล้ว

ล่าสุดแซนด์บอกซ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้วในกรุงเทพฯ ที่มีงาน Devcon 2024 (Ethereum Developer Conference 2024) งานบล็อกเชนใหญ่ที่สุดจัดในศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยทาง SCB ออกแซนด์บอกซ์ใช้จ่ายด้วยคริปโต ในพื้นที่จำกัด โดยทำดิจิทัลวอลเลตขึ้นมา ซึ่งดิจิทัลวอลเลตนี้กำหนดให้ร้านค้ารอบพื้นที่ศูนย์ประชุมรับบิตคอยน์-คริปโตได้ แต่ร้านค้าไม่รู้ตัวว่ารับได้เพราะที่ปลายทางถูกเปลี่ยนเป็นเงินบาท เข้าบัญชีแล้ว

แซนด์บอกซ์นี้ ใช้ได้เฉพาะกับชาวต่างชาติที่เข้ามาร่วมงาน ซึ่งต้องทำการ KYC ก่อน ทำให้สามารถระบุได้ว่าใครใช้วอลเลตเวอร์ชั่นทดลองได้หรือไม่ได้ เช่นเดียวกับร้านค้าที่ต้องมีการลงทะเบียน เพื่อให้สามารถรองรับกระเป๋าเงินดังกล่าวได้ ดังนั้นการกำหนดพื้นที่ทดสอบสำหรับรองรับการใช้จ่ายด้วยคริปโต จึงน่าจะเป็นท่านี้ เพียงแต่ขยายพื้นที่ขึ้นจากศูนย์ประชุมเป็นระดับเมือง

ทั่วโลกเริ่มใช้ Bitcoin Tourism

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมข้อมูลของประเทศที่มีการให้ใช้บิตคอยน์ หรือคริปโต ในการจับจ่ายใช้สอยโดยเฉพาะท่องเที่ยว ที่มีคำเรียกเฉพาะว่า Bitcoin Tourism โดยแนวคิดนี้มีความเชื่อว่าผู้ที่ถือครองบิตคอยน์จำนวนมาก ไม่นิยมการแลกเปลี่ยนออกมาเป็นเงินสด ด้วยเหตุผลหลัก ๆ คือต้องการรักษาความเป็นส่วนตัว ความลับเกี่ยวกับสินทรัพย์

หรือแม้แต่การแสดงไลฟ์สไตล์ต่อต้านการใช้เงินเฟียต (เงินสดทั่วไป) รวมถึงเหตุผลง่าย ๆ ว่า การใช้จ่ายด้วยบิตคอยน์ มีค่า Fee ให้กับระบบ ซึ่งบางครั้งค่า Fee สูงกว่าราคาสินค้า ทำให้ไม่เป็นที่นิยมสำหรับการใช้จ่ายทั่วไปในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ก็มีความต้องการใช้สอยเพื่อตอบสนองความต้องการสูง ดังนั้นหากมีพื้นที่หรือระบบนิเวศที่เหมาะสมก็จะดึงดูดเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลได้จากกลุ่มคนเหล่านี้

“เอลซัลวาดอร์” นำร่องที่แรก

ในเชิงระบบนิเวศเทคโนโลยี มีการพัฒนาโครงข่ายย่อยของบิตคอยน์ หรือเลเยอร์ 2 เช่น โครงข่าย Lighning ซึ่งได้รับความนิยมมากในช่วง 1-2 ปีมานี้ เพราะสามารถชำะเงินด้วยบิตคอยน์ได้อย่างรวดเร็วและแทบไม่เสียค่าธรรมเนียม

ขณะเดียวกัน บริษัทใหญ่ที่เป็นตัวกลางชำระเงินอย่าง PayPal, Visa เข้ามาทำระบบการชำระเงินด้วยบิตคอยน์ รวมถึงแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับการใช้คริปโต เช่น Travala สร้างโซลูชั่นสำหรับการจองเที่ยวบิน โรงแรม และร้านอาหาร โดยใช้บิตคอยน์-คริปโต โดยไม่ต้องโอนสินทรัพย์ออกสู่ระบบการเงินดั้งเดิม (Fiat Money)

ประเทศที่ตอบสนองต่อแนวคิดเหล่านี้ประเทศแรก คือ “เอลซัลวาดอร์” ที่ประกาศให้บิตคอยน์ เป็น Legel Tenter ในปี 2564 และสร้างโครงข่ายชำระเงิน เลเยอร์ 2 ผ่าน “ดิจิทัลวอลเลตแห่งชาติ” หรือ Chivo ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการชำระด้วยบิตคอยน์ และสเตเบิลคอยน์ที่ตรึงกับเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

สเตเบิลคอยน์ได้รับความนิยม

“ประชาชาติธุรกิจ” พูดคุยกับผู้พัฒนาบล็อกเชน BNB รวมถึงผู้พัฒนาระบบชำระเงินคริปโตก่อนหน้านี้ว่า แนวโน้มการใช้งานคริปโตในชีวิตประจำวันจะมาอยู่ที่ Stable Coin หรือเหรียญที่ตรึงมูลค่ากับเงินเฟียตมากกว่าการใช้งานบิตคอยน์ เพราะหลายโครงการสเตเบิลคอยน์ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลหลายแห่ง และบริษัทเอกชนจำนวนมากที่ทำระบบการชำระเงิน ออกแบบให้รองรับการผสานเงินสองระบบเข้าไว้ด้วยกันแล้ว

เช่น เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) การจับจ่ายในชีวิตประจำวันของชาวดูไบผ่านเครื่องรับชำระเครือข่าย Visa และ mastercard รองรับแอปพลิเคชั่นสำหรับคริปโตเคอร์เรนซี โดยผู้ใช้สามารถโอน Stable Coin ผ่านเครือข่ายของตนนั้นมาอยู่ที่ Virtual Debit Card ของผู้ให้บริการเพย์เมนต์เกตเวย์ เช่น Kast หรือ Alchemy (สัญชาติสิงคโปร์) แล้วแตะที่เครื่องรับชำระได้ตั้งแต่ร้านของชำข้างทางจนถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่

โดยสามารถเลือกชำระเป็นค่าเงิน AED หรือ USD ได้เหมือนการแตะบัตรเครดิต/เดบิตของ Visa/mastercard แต่ร้านค้าจะได้รับเป็น AED สกุลเงินของ UAE

กล่าวได้ว่า “คริปโต” แม้ไม่เป็นเงินตามกฎหมาย แต่สามารถแปลงผ่านระบบการชำระเงินดั้งเดิมที่ถูกกฎหมาย ก่อนจ่ายให้กับร้านค้า ทำให้ร้านค้าไม่ต้องแบกรับความผันผวน

สหรัฐ-สวิสเริ่มทดลองใช้

ไม่ใช่แค่ดูไบ แต่หัวเมืองใหญ่มากกว่า 100 ประเทศ รองรับการชำระเงินเช่นนี้ เช่น ในสหรัฐ ก็มีพื้นที่นำร่องในเมือง San Francisco ที่อ่าว The Blockchain Bay ศูนย์กลางเทคโนโลยีที่โดดเด่นเป็นผู้นำในการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ เมืองนี้เป็นที่ตั้งของ บริษัท คริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนจำนวนมาก เช่นเดียวบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา มีบริษัทกว่า 130 แห่งที่ยอมรับบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ บัวโนสไอเรสจึงกลายเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับคริปโต

รวมถึงในเขตเมือง Zug ประเทศ Switzerland เรียกว่า Crypto Valley ซึ่งรองรับการใช้จ่ายด้วยคริปโต แม้กระทั่งสิงคโปร์ ซึ่งยังไม่ได้ให้การยอมรับคริปโตมากนัก แต่นักเดินทางสามารถตัดชำระค่าบริการบนแพลตฟอร์มด้วยสเตเบิลคอยน์ได้