
ไพบูลย์ นลินทรางกูร กูรูตลาดทุน-ซีอีโอ บล.ทิสโก้ ชี้ปี 2025 ลงทุนไม่ง่าย วัฏจักรขาลงดอกเบี้ยสหรัฐใกล้จบรอบเร็วกว่าที่คาด ผลพวงนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์เพิ่มความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อในระยะยาว มองคุณสมบัติที่ “คาดเดาได้ยาก” ของทรัมป์คืออีกหนึ่งความเสี่ยงที่ตลาดทุนทั่วโลกต้องเผชิญ ผิดหวังหุ้นไทยปีนี้ Underperform ตลาดหุ้นโลกเป็นปีที่สอง แนะนักลงทุนควรลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้นในปีหน้า หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ แต่ควรกระจายความเสี่ยงในหลายตลาดหุ้น เน้นหุ้น Defensive-Value Stocks ทองคำยังน่าลงทุน ช่วยป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ดี หุ้นไทยแนะกลุ่มบริโภค-การแพทย์-ขนส่ง-ท่องเที่ยว
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ปี 2025 ลงทุนไม่ง่าย
ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีมากสำหรับการลงทุน เพราะสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง และมีเพียงไม่กี่ตลาดหุ้นและตราสารไม่กี่ประเภทที่ให้ผลตอบแทนติดลบ
สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปีนี้คือทองคำ (+29%) โดยได้อานิสงส์ดอกเบี้ยโลกขาลง ดอลลาร์อ่อนค่า และความไม่สงบในหลายพื้นที่ ส่วนตลาดหุ้นที่ขึ้นมากที่สุดคือปากีสถาน (+84%) ตุรกี (+35%) ฮังการี (+32%) ไต้หวัน (+28%) และสหรัฐ (+27%)
ตลาดหุ้น Developed Markets ปรับขึ้นเกือบทุกตลาดในปีนี้ ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ส่วนตลาดที่ไม่ได้ปรับขึ้น ก็ลดลงเล็กน้อยเท่านั้น คือฟินแลนด์ (-3%) ฝรั่งเศส (-2%) และโปรตุเกส (-1%) ตลาดที่เหลือให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +14%
ในฝั่ง Emerging Markets มีตลาดหุ้นที่ปรับลง 5 ตลาดคือ เม็กซิโก (-10%) บราซิล (-7%) เกาหลีใต้ (-6%) กาตาร์ (-3%) และโปแลนด์ (-3%) ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยลบภายใน ตลาดหุ้นที่เหลือปรับขึ้นเฉลี่ย +19%
ภาวะตลาดทุนที่สดใสในปีนี้ไม่เกินความคาดหมาย เพราะนอกจากอานิสงส์ดอกเบี้ยโลกขาลง ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการค้าโลก วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และความร้อนแรงของหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI
ที่น่าผิดหวังที่สุดคือตลาดหุ้นไทย (+2%) ที่ Underperform ตลาดหุ้นโลกเป็นปีที่สองติดต่อกัน
ถ้านับจากต้นปี 2023 มีตลาดหุ้นเพียง 8 แห่งในโลกที่ให้ผลตอบแทนติดลบ ซึ่งตลาดหุ้นไทย (-14%) คือหนึ่งในนั้น อยู่ใน “อันดับรองสุดท้าย” เป็นรองแค่ตลาดหุ้นบังกลาเทศ (-18%) ในขณะที่ตลาดหุ้นที่เหลือปรับขึ้นเฉลี่ย 53%
สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีผลงานย่ำแย่ต่อเนื่อง นอกจากปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน คือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยที่ยังอยู่ในขาลง
ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยหดตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่ SET Index แทบไม่ขยับขึ้นในปีนี้ เพราะผลประกอบการคือแรงขับเคลื่อนที่มีอิทธิพลสูงที่สุดต่อราคาหุ้น
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น กำไรต่อหุ้น หรือ EPS ของบริษัทจดทะเบียนไทย แตะจุดสูงสุดที่ 99 บาท เมื่อปี 2017 หลังจากนั้นก็ลดลงมาตลอด ปีนี้คาดว่า EPS จะจบปีที่ 78 บาท เท่ากับลดลง 21% จากปี 2017 ซึ่งสอดคล้องกับ SET Index ที่ลดลง 22% จากจุดสูงสุดที่ 1,838 จุด เมื่อต้นปี 2018
แม้รัฐบาลมาถูกทางด้วยการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในกองทุน Thai ESG เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย แต่การแก้ปัญหาด้าน “Demand” อย่างเดียว ไม่น่าเห็นผลแรงในการสร้างกระแสการลงทุนให้กลับคืนมา ตราบใดที่นักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าวัฏจักรกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะกลับสู่ขาขึ้น
การขาดตัวเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ เช่น หุ้นในกลุ่มธุรกิจอนาคต รวมทั้งความกังวลของนักลงทุนเรื่องความโปร่งใสของบริษัทจดทะเบียน คืออีกอุปสรรคใหญ่ด้าน “Supply” ของตลาดหุ้นไทยที่ผู้เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ไข
แน่นอนการแก้ปัญหาด้าน “Supply” ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้ารัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตได้ในระดับ 3-4% ต่อปี และเอาจริงกับการลงโทษบริษัทจดทะเบียนที่ทำผิดกฎระเบียบ ผมเชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้หุ้นไทยกลับมามีความน่าสนใจได้
ในภาพรวม ปี 2025 คาดว่าจะเป็นปีที่ลงทุนยาก เนื่องจากวัฏจักรขาลงของดอกเบี้ยสหรัฐใกล้จบรอบเร็วกว่าที่คาด ผลพวงจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อในระยะยาว
คุณสมบัติที่ “คาดเดาได้ยาก” ของทรัมป์ คืออีกหนึ่งความเสี่ยงที่ตลาดทุนทั่วโลกต้องเผชิญ ซึ่งน่าจะทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะลงทุนแบบระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม
ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะยังอยู่ในขาขึ้นในปีหน้า จากอานิสงส์นโยบายทรัมป์ในการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% และลดกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจ แต่ Upside น่าจะมีจำกัด เพราะ Forward P/E ของตลาดหุ้นสหรัฐที่ 23 เท่า จัดอยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 20 เท่า และค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิดที่ 17 เท่า
ในสภาวะตลาดแบบนี้ หุ้นสหรัฐกลุ่ม Value Stocks ซึ่งเทรดที่ Forward P/E ที่ 17 เท่า มีโอกาส Outperform กลุ่ม Growth Stocks ที่เทรดที่ Forward P/E สูงถึง 29 เท่า ซึ่งหุ้นเทคโนโลยีรวมอยู่ในกลุ่มหลังนี้ด้วย
แนวโน้มตลาดหุ้นเกิดใหม่โดยรวมดูน่ากังวลมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน จากความเสี่ยงสงครามการค้าโลกรอบใหม่ที่อาจปะทุขึ้น แต่จีนมีตัวช่วยสำคัญคือรัฐบาลจีน ที่คาดว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปีหน้า
ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มกลับมา Perform ได้ดีในปีหน้า หลังจากมีการปรับฐานไปแล้วในช่วงปลายปีนี้ อีกทั้งเศรษฐกิจอินเดียพึ่งพากำลังซื้อภายในเป็นหลัก จึงไม่น่าได้รับผลกระทบมากนักจากความเสี่ยงสงครามการค้า
กล่าวโดยสรุป นักลงทุนควรลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้นในปีหน้า หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังดูไม่น่าห่วง และนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ก็น่าจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ควรมีการกระจายความเสี่ยงไปในหลายตลาดหุ้น และเน้นหุ้นประเภท Defensive Stocks และ Value Stocks
ทองคำยังน่าลงทุน เพราะป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ดี สำหรับหุ้นไทย แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค การแพทย์ การขนส่ง และการท่องเที่ยว