กนง.มองปี’68 มีความไม่แน่นอนสูง เกาะติดภาวะสินเชื่อ-พร้อมปรับดอกเบี้ย

สักกะภพ พันธ์ยานุกูล
สักกะภพ พันธ์ยานุกูล

กนง.มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ย 2.25% ต่อปี มองเศรษฐกิจปี’68 มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น เกาะติดนโยบายเศรษฐกิจหลัก-กีดกันทางการค้า-ภาวะสินเชื่อชะลอตัว ยันพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสม แต่ตอนนี้ยังต้องรักษา Policy Space ไว้ในอนาคต เผยเสถียรภาพระบบการเงินยังไม่เป็นประเด็นความเสี่ยงระยะสั้น-ระยะยาว เหตุมีมาตรการแก้หนี้-ผลดอกเบี้ย ช่วยกดหนี้ครัวเรือนลดลง

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ย 2.25% ต่อปี โดยตัวเลขเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับการประเมินรอบที่แล้วโดยในปี 2567 จะขยายตัว 2.7% และในปี 2568 อยู่ที่ 2.9%

ซึ่งในปี 2567 แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักมาจากภาคการบริโภคเอกชนและท่องเที่ยว และในปี 2568 บริโภคเอกชนและท่องเที่ยวยังขยายตัวแต่อัตราชะลอลง แต่จะเห็นการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐพลิกเป็นบวกจากงบประมาณภาครัฐที่ออกมา โดยในไตรมาสที่ 4/2567 คาดว่าจีดีพีจะออกมาใกล้เคียงที่ประเมินไว้ในระดับ 4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY)

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับต่ำและยังอยู่ใกล้เคียงกรอบ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2567 อยู่ที่ 0.4% จากเดิม 0.5% และในปี 2568 อยู่ที่ 1.1% จากเดิม 1.2% โดยมาจากราคาพลังงานที่ปรับลดลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2567 อยู่ที่ 0.6% จากเดิม 0.5% และในปี 2568 อยู่ที่ 1.0% จากเดิม 0.9% ซึ่งทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจ และราคาสินค้าในตะกร้าปรับเพิ่มขึ้น 3 ใน 4 แต่ยังไม่เห็นสัญญาณภาวะเงินฝืด โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ทรงตัวและยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่คณะกรรมการมีการพูดคุยค่อนข้างเยอะ คือ การชะลอตัวของสินเชื่อ ซึ่งมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ 1.ความต้องการลงทุนในบางเซ็กเตอร์ลดลง 2.การชำระหนี้คืน หลังมีรายได้ทยอยเข้ามา โดยเฉพาะในเซ็กเตอร์บริการและท่องเที่ยวที่มีการฟื้นตัว ทำให้การพึ่งพิงสินเชื่อน้อย ทำให้ความต้องการสินเชื่อใหม่น้อยลง และ 3.ความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มสูงขึ้น เช่น ภาคการผลิต การใช้สินเชื่อต่อรายได้ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ทำให้การใช้สินเชื่อยากขึ้น หรือเอสเอ็มอีที่มีความเสี่ยงสูง

ทั้งนี้ กนง.เห็นความแตกต่างของการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมและรายได้ เช่น ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่มีปัจจัยด้านราคาและอุปสงค์เข้ามากระทบ ส่งผลต่อรายได้ โดยสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ราคาขายรถมือสอง กับยอดขายไปด้วยกัน มีการปรับขึ้นและลงเป็นวัฏจักร ซึ่งในปี 2564 หลังออกมาตรการช่วยเหลือโควิด-19 และภาครัฐมีการกำหนดเพดานดอกเบี้ย จะเริ่มเห็นสัญญาณหนี้เสียเพิ่มขึ้น ทำให้ราคารถมือสองในไตรมาสที่ 1/2565 ปรับลดลง ส่งผลต่อยอดขายรถใหม่ รวมถึงมีปัจจัยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เข้ามา ดังนั้น จึงเริ่มเห็นผลกระทบ (Effect) ต่อยอดสินเชื่อเริ่มชะลอลงในไตรมาสที่ 1/67

ADVERTISMENT

“มองไปข้างหน้า เรายังติดตามราคารถว่าจะมีความเสถียรภาพ (Stable) เมื่อไร ซึ่งจะทำให้ยอดขายและสินเชื่อกลับมา โดยล่าสุดเราเห็นผู้ประกอบการว่าราคาเริ่มมีสัญญาณกลับมา ซึ่งเราต้องติดตามต่อเนื่อง เพราะจะมีผลเกี่ยวเนื่องไปยังอุตสาหกรรมอื่น เช่น ชิ้นส่วน เป็นต้น”

ดังนั้น นโยบายการเงินสอดคล้องเศรษฐกิจ อัตราเงิน และการรักษาศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว จึงต้องรักษาขีดความสามารถการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) ไว้ในอนาคต เนื่องจากมีความเสี่ยงในระยะข้างหน้าจากความไม่แน่นอน ทั้งจากนโยบายการเงินประเทศเศรษฐกิจหลัก ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งมีทั้งปัจจัยบวกและลบ และขึ้นกับหลายปัจจัย

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี หากคณะกรรมการเห็นปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากระทบ และประเมินผลกระทบไปในจุดไหนบ้าง และนโยบายอัตราดอกเบี้ยจะเข้าไปช่วยจุดไหนบ้าง โดยเห็นภาพเศรษฐกิจมีความชัดเจนขึ้น และหากมีการเปลี่ยนไปจากเดิม กนง.ก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินให้เหมาะสมต่อไป

โดย กนง.ยังคงยึดภายใต้หลัก 3 ด้าน คือ 1.อัตราเงินเฟ้อ 2.เสถียรภาพเศรษฐกิจ และ 3.เสถียรภาพระบบการเงิน

ทั้งนี้ เสถียรภาพระบบการเงิน แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ระยะสั้น และระยะยาว ยังไม่ได้เป็นประเด็นความเสี่ยง เนื่องจากในระยะยาวเห็นการปรับลดลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือน และระยะสั้น แม้จะเห็นความเสี่ยงสินเชื่อตึงตัว แต่มีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือและการปรับลดดอกเบี้ยรอบที่แล้ว ดังนั้นความเสี่ยงระบบการเงินไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม

“ตอนนี้ ดอกเบี้ยยังเป็น Neutral โดยคณะกรรมการมองเศรษฐกิจในระยะสั้น ๆ มองว่าตัวเลขไตรมาสที่ 3/67 ออกมาดีกว่าที่ประเมินไว้จากตัวเลขส่งออก และมองไปยังมีโมเมนตัมส่งไปถึงไตรมาสที่ 4/67 และไตรมาสที่ 1/68 แต่เราเห็นความเสี่ยงด้านต่ำมากในปี’68 ผลจากความไม่แน่นอนที่มีสูงขึ้น ทำให้ความเสี่ยงกว้างขึ้นจากความเสี่ยงที่มีมากขึ้น

เราจึงต้องติดตามความชัดเจนของความไม่แน่นอน ทั้งนโยบายเศรษฐกิจหลัก สหรัฐ ออกมาชัดเจนเหยียบเบรก ไม่ได้ผ่อนคลาย และยังต้องดูแลเงินเฟ้ออยู่ ทำให้ดอกเบี้ยค้างนานกว่าเดิม ส่วนเราก็ไม่ได้เหยียบเบรก แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นเกินไป โดยเราเน้นรักษา Policy Space โดยยังไม่เห็นความจำเป็นต้องใช้ และรักษาไว้ในอนาคต”