บล.กสิกรไทย ชูกลุ่มแบงก์-อสังหาโตเด่นสอดรับศก.ไทยขยายตัวดี คาดเป้าดัชนีปีนี้ปรับเป็น 1,898 จุด

บล.กสิกรไทยชูกลุ่มแบงก์-อสังหาฯ-รับเหมา-ค้าปลีก-อิเล็กทรอนิกส์โตเด่นรับเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีกว่าคาดปีนี้ แนะหุ้นดิจิทัลแผ่วลงทุนระวัง ชูปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเป็น 80% จากเดิม 60% พร้อมเพิ่มเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เป็น 1,898 จุด จากเดิม 1,888 จุด

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตขึ้นได้ในปีนี้ โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีการขยายตัวขึ้นมาก เนื่องจากมีแนวโน้มจะปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศที่ขยายตัวดีขึ้นในหลายภาคธุรกิจ โดยธนาคารที่บริษัทสนใจ ได้แก่ BBL, KTB, TISCO

โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตที่ดีขึ้น เนื่องจากในปีนี้ยังมีแผนการที่จะเปิดโครงการทั้งหมดกว่า 266 โครงการ มูลค่าโครงการรวมแล้วอยู่ที่ 340,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/61 มูลค่าโครงการอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท ไตรมาส 2/61 มูลค่าโครงการอยู่ที่ 60,000 ล้านบาท ในไตรมาส 3/61 มูลค่าโครงการอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท ในไตรมาส 4/61 มูลค่าโครงการอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท ทั้งนี้มูลค่าโครงการในไตรมาส 3 และ 4 สูงที่สุดในประวัติการณ์ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละไตรมาสจะไม่เกิน 50,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่มีหลายโครงการจะเกิดขึ้นจำนวนมากนั้น มาจากเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้นและจากการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าหลายแห่ง ทำให้ส่งผลต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะเติบโตขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้หุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทสนใจ ได้แก่ AP, LH, SUPALAI, QH, ORI จากการที่กำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนจึงพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 1,898 จุด

“บริษัทมองว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะเป็นกลุ่มที่ตอบสนองการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ดีที่สุด และนำมาซึ่งการปรับประมาณการณ์ขึ้นกำไรของทั้งสองกลุ่มขึ้นมา จนนำไปสู่เรื่องของการกำหนดเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,898 จุด” นายประกิตกล่าว

โดยกลุ่มที่น่าสนใจเพิ่มคือกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มค้าปลีก โดยกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาอาจมีการก่อสร้างของโครงการขนาดใหญ่ไม่เกิดขึ้น จึงทำให้มีรายได้และกำไรน้อยลง แต่ในปีนี้ปัจจัยในส่วนของการเลือกตั้งที่ชัดเจนนั้น จะส่งผลให้โครงการรับเหมาต่างๆมีการเร่งประมูลขึ้น ทำให้รายได้ในกลุ่มนี้ปรับตัวดีขึ้น และกลุ่มค้าปลีกได้มียอดการขยายต่อสาขาเริ่มดีขึ้น เช่น CPALL, BEAUTY และ CPN

Advertisment

ในขณะที่กลุ่มที่บริษัทมีความกังวลอยู่คือกลุ่มทีวีดิจิทัล ที่รายได้ถูกกระจายไปที่สื่อออนไลน์มากขึ้น และรายได้จากโฆษณาก็ลดลง

การที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีแรงซื้อกลับเข้ามา เนื่องจากนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่น เห็นได้จากดัชนี FETCO ที่ผลออกมาอยู่ที่ 92 ซึ่งต่ำลงมาในรอบปี แสดงให้เห็นความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับต่ำ มาจากความไม่เชื่อมั่นในเรื่องกระแสเงินทุนไหลออกจาก Emerging Market และเรื่องดอกเบี้ยเงินเฟ้อ

Advertisment

นายประกิตกล่าวว่า สำหรับในเดือนพ.ค. 61 ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 5.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ามากสุด นับจากเดือนพ.ค. 53 ที่ต่างชาติเคยขายหุ้นไทยสุทธิ 5.8 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ต่างชาติขายหุ้นไทย 1.35 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน

หากการเมืองมีความชัดเจน และ ธนาคารกลางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยตามที่ประกาศไว้จะส่งผลให้เงินที่จะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ลดลง ซึ่งทำให้ฝ่ายวิจัยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นเป็น 80% จากเดิม 60% และ ในอนาคตจะปรับเป็น 100% ต่อไป

“fund flow ต่างชาติจะไหลกลับเข้ามา หลังทุกอย่างมีความชัดเจนมากขึ้น เพราะตอนนี้ปัจจัยในประเทศเราดีทุกอย่าง จีดีพี ส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐ เอกชนก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า 5 เดือนต่างชาติขายหุ้นไทยไป ก็เชื่อว่าเร็วๆนี้ต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยเหมือนเดิม” นายประกิต กล่าว

บล. กสิกรไทยมีพอร์ตให้นักลงทุน ซึ่งสามารถทำ Performance new high โดยมูลค่า Asset หรือ NAV พอร์ตของกสิกรทำ new high สวนทางกับตลาดที่ปรับลดลงซึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ในเดือนที่แล้วคือลงน้ำหนักการลงทุนอยู่ที่ 60% โดยอีก 40% ถือเป็นเงินสด และเน้นถือหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศที่เข้มแกร่ง ในเดือนนี้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น 80% ซึ่งเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก รับเหมาและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งยังมีแผนจะเพิ่มเป็น 100% ในไม่ช้า

ทั้งนี้ นายประกิต กล่าวแนะนำให้ระมัดระวังความเสี่ยงในการลงทุน คือ สภาพคล่องของโลกที่กำลังหดตัวลง Fed เริ่มลดขนาดงบดุล กระแสเงินทุนที่ไหลออกจาก Emerging Market ที่เริ่มส่งผลกระทบ ซึ่งเห็นได้จากค่าเงินเปโซของอาร์เจนติน่าที่อ่อนค่าอย่างรุนแรงและรวดเร็ว