กิตติรัตน์ แนะ 5 สมาคมถกฟื้น ศก.-ตลาดทุน พาประเทศหลุดพ้นทศวรรษที่สูญหาย

กิตติรัตน์ ณ ระนอง
ภาพจากเฟซบุ๊ก กิตติรัตน์ ณ ระนอง - Kittiratt Na-Ranong

กิตติรัตน์ ว่าที่ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แนะ 5 สมาคม ร่วมถกฟื้นเศรษฐกิจ-ตลาดทุน พาประเทศหลุดพ้นทศวรรษที่สูญหาย ชูนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนสำคัญ ย้ำจุดยืน กนง. ควร “ลดดอกเบี้ยเร็วแรง” ติงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ “เกินพอดี” มองฟากนโยบายการคลังตึงตัว เชื่อปฏิรูปโครงสร้างภาษีเป็นเรื่องดี แนะขึ้น VAT แค่ครั้งละ 0.25-1% เตือนปี 2568 ระวังความเสี่ยง “หนี้เสีย-ค่าเงิน”

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ว่าที่ประธานกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอดีตกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คนที่ 9 กล่าวถึงภาพเศรษฐกิจไทยที่การเติบโตเอื่อย และตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันไม่ค่อยสร้างผลตอบแทนที่เซ็กซี่เหมือนกับตลาดหุ้นอื่น จนกลายเป็นทศวรรษที่สูญหาย (The Lost Decade) ว่า เป็นความท้าทายอย่างมาก แต่แนวทางการจะก้าวออกจาก The Lost Decade ของประเทศไทยได้นั้นก็มีวิธี

นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนสำคัญ

ถ้าพิจารณาจากประเทศญี่ปุ่นที่สามารถก้าวออกมาได้เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ตอนที่นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ อดีตประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ที่เข้ามารับหน้าที่ประธานธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งได้ยึดหลักนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน โดยให้เงินเยนอ่อนค่าเพื่อสามารถแข่งขันได้ในการผลิตเพื่อการส่งออก และเพื่อให้การเดินทางเข้าท่องเที่ยวในญี่ปุ่นถูกลงจากในยุคที่ค่าเงินเยนแข็งค่า

ดังนั้นนโยบายเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยออกจาก The Lost Decade ได้ อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่า หากเทียบกับประเทศคู่ค้าในรอบ 2 ทศวรรษ จะพบว่าประเทศอื่น ๆ ไม่ยอมให้ค่าเงินแข็งค่าขนาดนี้ ซึ่งแม้จะดีต่อสินค้านำเข้า แต่จีดีพีโตช้า แต่หากปล่อยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าบ้างก็จะสามารถขายสินค้าได้แพงขึ้น และหนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดีขึ้นได้

กิตติรัตน์ ณ ระนอง
กิตติรัตน์ ณ ระนอง

แนะ 5 สมาคมถกฟื้นเศรษฐกิจ-ตลาดทุน

นอกจากนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ หากประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย จะระดมความคิดเห็นโดยหารือกับประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่จะสามารถขจัดความด้อยประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจ และสามารถทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเพิ่มจีดีพีและเพิ่มผลตอบแทนในตลาดทุนที่สูงขึ้นได้

ยกตัวอย่างเช่น ยุคนี้เขาเรียกยุคเผา ซึ่งมีฝุ่นพิษ PM 2.5 เกิดขึ้น ถ้าสังเกตการเผาแปลงข้าวโพด อ้อย และพืชเศรษฐกิจสำคัญอื่น ๆ ถ้าเราหยุดการเผาทั้งหมดเราจะประหยัดความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้หลายเปอร์เซ็นต์ของ GDP และช่วยฟื้นการท่องเที่ยวในบางจังหวัด และไม่ทำให้ประชาชนเสียสุขภาพด้วย ดังนั้นถ้าเราร่วมมือทำสิ่งเหล่านั้นเชื่อว่า GDP จะดีขึ้นได้ปีละ 1-2% จึงอยากให้เอกชนออกแรงช่วยกันทำ

ADVERTISMENT

ปัจจุบันมองว่าเหมือนกับหน้าที่ฉัน คุณไม่เกี่ยว และอันนี้ก็หน้าที่ฉัน นอกเหนือจากหน้าที่ตรงนี้ของฉัน ฉันก็ไม่เกี่ยว พอเป็นแบบนี้โอกาสที่จะทำความเข้าใจร่วมกันให้เศรษฐกิจดีได้ก็ยาก ฉะนั้นคงต้องทำงานอย่างบูรณาการร่วมกัน ซึ่งต้องยิ่งกว่าอภิมหา Symphony Orchestra คือเราต้องการคนเก่งที่ทำงานแล้วประกอบรวมกันและกลายออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ดีเพื่อพัฒนาประเทศให้ดีขึ้นมาได้ ซึ่งเชื่อว่าการทำงานอย่างสอดประสานกันและเกิดความเข้าใจต่อกันจะเป็นเรื่องที่ดี

“ผมมั่นใจประเทศไทยมีคนรู้ว่าต้องแก้ปัญหาอย่างไร เพียงแต่คนรู้เขามีโอกาสสื่อสารไปถึงระดับนโยบายหรือไม่ ว่าทำแบบนี้ผลิตภาพของอุตสาหกรรมบางชนิดจะสามารถเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นกล่าวโดยสรุปการออกจาก The Lost Decade ต้องใช้เครื่องมือมหภาคและจุลภาคในเชิงปรับปรุงประสิทธิภาพ และระดมความคิดทั้งในส่วนที่เป็นเรื่องของภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ รวมทั้งภาคสิ่งแวดล้อมด้วย”

ADVERTISMENT

รีบแกะเชือกผูกรองเท้าที่พันกัน

นายกิตติรัตน์ เสนอแนะถึงการผลักดันการเติบโตของจีดีพีปี 2568 ว่า หากต้องการผลลัพธ์ใหม่ที่ดีขึ้น ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ อย่าทำอะไรแบบเดิม ๆ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจก็คงไม่ดีขึ้นไปกว่าเดิมแน่ ๆ ต้องทำทุกเรื่องให้ดีขึ้นทั้งนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง กลไกในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และการปรับผลิตภาพต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น

“ฝากผู้เกี่ยวข้องว่า เราอย่าไปยอมรับความปกติแบบนี้เลย เรารีบแก้ไขมันเถอะ พอเราแก้ไขเหมือนเราแกะเชือกผูกรองเท้าที่มันพันกัน เราจะเดินและวิ่งเร็วขึ้น และหนุนเศรษฐกิจจะโตดีขึ้น และโอกาสผู้ลงทุน หรือคนที่จบการศึกษาใหม่ก็จะมีงานทำง่ายขึ้น ส่วนคนที่อยู่ในระบบประกอบการต่าง ๆ จะมีความสามารถในการชำระหนี้ดีขึ้น พนักงานหรือบุคลากรต่าง ๆ แม้จะถูกดิสรัปชั่นจากการใช้ออโตเมชั่น แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับค่าตอบแทนที่ดีด้วย”

ย้ำจุดยืน กนง. ควร “ลดดอกเบี้ยเร็วแรง”

ทั้งนี้ด้านมุมมองต่อนโยบายการเงิน “นายกิตติรัตน์” มองว่าเป็นเครื่องมือที่ทำได้ง่าย ซึ่งที่ผ่านมาวาง “จุดยืน” เหมือนเดิมว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ควร “ลดดอกเบี้ยนโยบาย” ให้เร็วและแรง คือหนทางป้องกันความหายนะทางเศรษฐกิจ ซึ่งเคยพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2566 ซึ่งความเชื่อไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้หลังจากได้ถูกเสนอชื่อให้ไปทำหน้าที่คณะกรรมการ ธปท. แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เห็นการลดดอกเบี้ยเร็วและก็ยังไม่ได้ลดแรง

แต่อย่างไรก็ตามการประชุม กนง. ที่มีมติเอกฉันท์ “คงดอกเบี้ย” รอบล่าสุด (18 ธ.ค.) ที่ระดับ 2.25% โดยส่วนตัวผมเคารพการตัดสินใจของที่ประชุม กนง.ทั้ง 7 ราย เพราะเป็นคนที่มีเหตุและมีผล

“แต่ถ้าเกิดพูดด้วยภาษาชาวบ้าน “ขอให้เห็นใจเถอะ” เราเคยมียาอยู่ 8 เม็ด เพื่อที่จะรักษาปัญหาโรคที่เราเป็นอยู่ และเผอิญเรากินยาไปแล้ว 1 เม็ด ทำให้เหลือยา 7 เม็ด จะรีบกินตอนนี้ก็จะเหลือยา 6 เม็ด ซึ่งทาง กนง. (คณะแพทย์) เขาก็เลือกไม่กินยาโดยเก็บไว้ก่อน แต่ถ้าเห็นใจกินยาไปอีกเม็ด เราก็ยังเหลือยาอีกตั้ง 6 เม็ด ซึ่งเป็นเรื่องที่จริง ๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าเกิดเหลือยาอยู่สัก 2 เม็ด และเลือกไม่กิน ผมก็พอจะเข้าใจเยอะกว่านี้ได้” นายกิตติรัตน์กล่าว

ส่วนที่หลายคนกังวลว่าหากผมได้ถูกมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ผมจะเข้าไปแทรกแซงหน่วยงานทางด้านนโยบายการเงิน คำถามคือความสามารถในการแทรกแซงของผมมีมากกว่านั้น คือผมแทรกแซงฝั่งนโยบายการคลังก็พอได้ด้วย แต่แทรกแซงด้วยความคิด เพราะทั้งสองส่วนผมไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

การเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ โดยตำแหน่งไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่สั่งการ 3 คณะกรรมการสำคัญ รวมทั้งผู้ว่าการแบงก์ชาติ หรือรองผู้ว่าการแบงก์ชาติ ฉะนั้นการแทรกแซงอะไรคงเป็นการแทรกแซงทางความคิดว่า เรื่องนี้เราควรดูข้อมูลตรงนี้เพิ่มมั้ย เช่นเดียวกันการเป็นผู้ถูกเสนอชื่อ ต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและต้องไม่เป็นกรรมการหรือผู้มีตำแหน่งใดในพรรคการเมือง ดังนั้นคงไม่สามารถไปแทรกแซงฝั่งรัฐบาลได้ มีอย่างเดียวเสนอความคิดเห็นไป ดังนั้นถ้าได้เป็น ผมว่าหน้าที่ต้องเป็นคนเชื่อมให้ทั้งสองฝั่งทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ข้อสรุปที่ดี

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกินพอดี

ส่วนอีกประเด็นเรื่องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ มองว่านาทีนี้ “เกินพอดีไปมาก” จึงเป็นปัญหาไม่ใช่ว่าดี การแก้ไม่ให้เกินพอดีก็มีวิธี ฉะนั้นอยากฝากว่าหากเราไม่ทบทวนหลักคิดให้แม่น และเราก็เดินชนกับปัญหาไปในแต่ละวันหรือแต่ละครั้ง เราจะสับสนได้ ดังนั้นมองเห็นปัญหาซะก่อนที่ปัญหานั้นจะสร้างความเสียหายรุนแรง

“ในปี 2540 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเราควรจะมีไม่น้อยกว่าปริมาณการนำเข้า 6 เดือน แต่ด้วยเหตุการณ์ขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เรามีเงินทุนสำรองน้อยกว่า จึงเป็นปัญหา อัตราดอกเบี้ยก็สูง เพราะสภาพคล่องในประเทศขาดแคลน หลังจากเราปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว เราเริ่มสะสมเงินทุนสำรอง และเงินบาทอ่อนค่าซี่งช่วยรักษาชีวิตประเทศไทยไว้ ตั้งแต่ปี 2541-2543 พอค่าเงินอ่อนแล้วเราก็ส่งออกเก่ง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็เพิ่มขึ้น ๆ ระหว่างที่เพิ่มเราก็ดีใจ เพราะลดความแตกต่างของสิ่งที่ควรเป็นกับสิ่งที่มีอยู่จริง จนเพิ่มเกินพอดีไปมาก จึงกลายเป็นปัญหา”

นโยบายการคลังตึงตัว

ด้านนโยบายการคลังขณะนี้ถือว่าตึง ๆ แล้ว แม้ว่าหนี้สาธารณะเมื่อเทียบต่อจีดีพียังอยู่ที่ประมาณ 60% ถ้าเทียบกับหนี้ครัวเรือนสูงกว่านั้นมาก ฉะนั้นการที่นโยบายการคลังจะกัดฟันสลัดหนี้สาธารณะที่มีอยู่ เพื่อเข็นเศรษฐกิจและไปสู่การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ไม่ได้หมายถึงทำได้ง่ายนัก เพราะว่าทุก ๆ บาทที่เป็นหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ล้วนแต่มีต้นทุนค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ก็แปลว่างบประมาณที่เก็บได้ในปีถัดไปก็จะต้องเจียดมาจ่ายดอกเบี้ยในหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นด้วย แล้วงบประมาณที่จะได้ ได้จากการเก็บภาษีที่สูงขึ้น ผูกโยงกับ GDP ที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้นการจะเข็นตรงนั้นไป คนจะใช้นโยบายการคลังต้องคิดหนัก

แนะขึ้นภาษี VAT แค่ครั้งละ 0.25-1%

ขณะที่แนวคิดการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของรัฐบาล “นายกิตติรัตน์” กล่าวถึงว่า ภาษีเป็นแหล่งรายได้ของภาครัฐ เป็นภาระของผู้จ่าย และเป็นกลไกในการปรับแต่งพฤติกรรมของผู้จ่าย ดังนั้นการจะทบทวนโครงสร้างภาษีอยู่เสมอ ๆ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่เวลาคิดจะปรับโครงสร้างภาษีต้องคิดให้ละเอียดว่าภาษีประเภทไหนควรปรับหรือไม่ปรับควร และถ้าปรับในอัตราใดที่เหมาะสม

เช่น การจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 15% มองว่าเป็นไปไม่ได้ จริง ๆ ใช้ภาษี VAT ที่ 10% มีความเป็นไปได้ เพราะภาษี VAT ของไทยอยู่ที่ 10% มาตั้งแต่ต้น แต่ปรับลงมาที่ 7% หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง และมีการลดชั่วคราวในลักษณะนี้มาทุก ๆ ปี ดังนั้นการจะปรับภาษี VAT อย่างมากขึ้นไปสู่ระดับ 10% ที่เดิม

แต่อย่างไรก็ตามการปรับเพิ่มภาษี VAT มีผลต่อความรู้สึกของประชาชนเพราะมีภาระเพิ่ม แนวคิดของผมถ้าจะปรับควรปรับขึ้นภาษี VAT แค่ครั้งละ 0.25% หรือ 0.50% หรือ 1% ก็ได้ แต่ต้องสื่อสารให้กับประชาชนเข้าใจด้วยว่าเมื่อเก็บภาษีเพิ่มแล้ว จะนำเงินไปใช้ทำอะไรบ้างเพื่อสร้างความชัดเจน

“สมัยผมดำรงตำแหน่งเป็น รมว.คลัง ช่วงปี 2555-2557 ได้มีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต บุหรี่และสุรา 2 ครั้ง ซึ่งการดำเนินการจะดูให้รอบคอบที่สุด ในฐานะคนคุมนโยบาย และที่สำคัญต้องเป็นความลับที่สุด ไม่ควรจะให้มีข่าวหลุดออกมา เพื่อไม่ให้เกิดการตุนสินค้าหรือเก็งกำไร และถึงเวลาค่อยประกาศ”

ปี 2568 ระวังความเสี่ยง “หนี้เสีย-ค่าเงิน”

ขณะที่ขอเตือนให้มีความระมัดระวังความเสี่ยงปี 2568 จากที่เห็นนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น แต่เราต้องดูแลแนวโน้มเวลาค่าเงินบาทแข็งค่าด้วย เพราะหากในขณะที่ประเทศคู่แข่งในแง่ประเทศแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนค่าเงินอ่อนค่า ถ้าเราไม่ระวัง ผ่านไปอีกสักระยะ นักท่องเที่ยวอาจจะรู้สึกว่ามาเที่ยวประเทศไทยค่าใช้จ่ายแพง และอาจหนีไปเที่ยวประเทศอื่นได้

นอกจากนี้ต้องติดตามภาวะหนี้เสีย (NPL) ของผู้ประกอบการที่ถูกรายงานออกมาเป็นรายเดือนว่าบ่งบอกความรุนแรงขึ้นหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นหนี้เสียจากสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล-บัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่อเพื่อการเกษตร ปัญหาเหล่านี้ต้องแก้ให้ทันเวลา ที่สำคัญกว่านั้นการบริหารจัดการเรื่องการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ต้องเร็วด้วย