
สภาพัฒน์ชี้อีสานสร้างรายได้ให้ประเทศมากถึง 10% ของ GDP แต่ติดกับดักรายได้น้อย แนะยกระดับด่านชายแดน แหล่งรายได้สำคัญ
ที่หอประชุมราชภัฏรังสฤษฏ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ ‘เครือมติชน’ จัดงานสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤต โดยช่วงเวลา 10.20 น. นางสาวจินนา ตันศราวิพุธ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวในหัวข้อ “อีสาน ทำเลทองอินโดจีน ระเบียงเศรษฐกิจใหม่” ว่า
ในแง่พื้นที่ภาคอีสานนั้น จำนวน 20 จังหวัด สามารถสร้าง รายได้ คิดเป็น 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) เป็นจำนวนเงิน 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งประเทศไทยมีรายได้ในปี 2565 ที่ 17 ล้านล้านบาท
ซึ่งรายได้จำนวน 10% ของจีดีพีจากภาคอีสาน มาจากคนอีสานจำนวน 21 ล้านคน จากประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน เพราะฉะนั้นประชากรไทย 30% อยู่ที่ภาคอีสาน สร้างรายได้ให้ประเทศ 10 บาท จาก 100 บาท หมายความว่า อีสานเป็นตัวช่วยดันจีดีพีตัวหนึ่ง
ในขณะที่ประชากรอยู่ในอีสานเยอะ เลยทำให้รายได้ต่อหัวเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ แล้ว อยู่ในระดับเกือบต่ำสุด ในปี 2565 รายได้ต่อหัวของคนอีสานอยู่ที่ 95,000 บาทต่อคนต่อปี ในขณะที่ประเทศอยู่ที่ประมาณ 240,000 บาทต่อคนต่อปี เพราะฉะนั้นเกิดอะไรขึ้นกับภาคอีสาน ภาคอีสานนั้น มูนมังเรามี สิ่งแวดล้อมเรามี โครงสร้างพื้นฐานเรามี
ส่วนโครงสร้างเศรษฐกิจ 10% ที่ภาคอีสานสร้างให้ประเทศนั้น มาจาก ภาคบริการ ซึ่งมาจากภาคการศึกษา สถาบันการศึกษาที่อยู่ในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคอีสาน สัดส่วนคือ 22% รายได้ภาคอีสาน ในขณะที่อีก 22% มาจากภาคอุตสาหกรรม และอีก 20% มาจากภาคเกษตร ซึ่งมีข้อน่าสนใจ คือ ในภาคบริการ มีแรงงาน 40% ขณะที่ภาคการเกษตรต้องการใช้แรงงาน 53% จากคนอีสาน
แต่ในคนอีสานนั้นมีแรงงาน 9 ล้านคน จากทั้งหมด 21 ล้านคน ซึ่งแรงงานเหล่านี้ทำงานในภาคบริการ 4 ล้านคน ส่วนทำงานในภาคเกษตร 53% หรือประมาณ 4.9 ล้านคน แต่สร้างรายได้ให้อีสานที่ 20% ขณะที่ 7% ของแรงงาน หรือ 6 แสนคน ทำงานในภาคอุตสาหกรรม ที่สร้างรายได้มากถึง 22%
เพราะฉะนั้น สัดส่วนที่เห็นเป็นโจทย์ที่ไม่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา หรือมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในภาคอีสาน ในฐานะเป็นสถาบันการศึกษาการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area-based University) เพราะตัวเลขจีดีพี ประชากรพวกนี้ สะท้อนขีดความสามารถส่วนช่วย (Contribute) การเติบโตให้กับภาคอีสาน
ในส่วนภาคอีสานมีพื้นที่ชลประทานภาคการเกษตรแค่ 13% นั้นเป็นเหตุให้พืชเศรษฐกิจของภาคอีสาน เป็นพืชไร่ที่ใช้น้ำน้อย อ้อย มันสำปะหลัง และข้าว อันนี้ก็จะเป็นอีกโจทย์สำคัญของประเทศ และภาคอีสานเอง
สำหรับภาคอีสานนั้น มีมูนมัง มีมากมาย แต่มูนมังเหล่านั้นสร้างประโยชน์ให้ภาคอีสานได้แค่ไหน เป็นอีกโจทย์สำคัญ ถ้าเราจะขยับขีดความสามารถของภาคอีสานไปในด้านการท่องเที่ยว เราจะใช้ประโยชน์ มูนมัง อย่างไร ให้เกิดประโยชน์ต่อภาคอีสาน
ทั้งนี้ จากข้อมูลปี 2566 พบว่าภาคอีสานกับภาคกลางมีค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว คือ เฉลี่ยอยู่ที่ 2,000 บาทต่อคนต่อวัน ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของเที่ยวประเทศไทย อยู่ที่ 6,800-7,000 บาทต่อคนต่อวัน
ขณะที่ภาคใต้ มีค่าใช้จ่าย 14,000 บาทต่อคนต่อวัน ส่วนภาคเหนือ 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และภาคตะวันออก 7,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยในแง่จำนวนนักท่องเที่ยว เฉลี่ยเที่ยวทั้งประเทศ 40 ล้านคนต่อปี
มองลงไปในรายจังหวัดของอีสานนั้น ขอนแก่น เทียบแล้วเหมือนกรุงเทพฯ เล็กเลยก็ว่าได้ อุดรธานี แม้ว่าในเรื่องจำนวนจะไม่ได้มาอันดับหนึ่ง แต่ค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อหัวสูง โดยอยู่ที่ลำดับที่สองของจังหวัดในอีสาน
ขณะที่อีกหนึ่งแหล่งรายได้หลักของอีสาน คือ การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน โดยในพื้นที่อีสานมีด่านศุลกากรทั้งหมด 10 ด่าน ด่านถาวรอีก 3 ด่าน ซึ่งด่านเหล่านี้มีสินค้าเข้าและออกมากมาย สร้างรายได้ให้อีสานอย่างมาก ดูได้จากมูลค่าการค้าชายแดนในปี 2567 ทั่วประเทศอยู่ที่ 9 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มาจากด่านหนองคายมากถึง 9% ของทั่วประเทศ หรือราว 8.3 หมื่นล้านบาท หมายความว่าโอกาสที่จะพัฒนาด่านหนองคาย เป็นเกตเวย์
ขณะที่ด่านทั้ง 10 ด่านของอีสาน รวม 2.3 แสนล้านบาท โดยมาจากด่านหนองคาย 36% ด่านมุกดาหาร 23% ด่านช่องเม็ก 15% ด่านนครพนม 9% และด่านท่าลี่ 9% ขณะเดียวกันการค้าผ่านแดนก็เป็นอีกหนึ่งศักยภาพ โดยมูลค่าการค้าผ่านแดน มากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 53% ของทั่วประเทศ มาจากภาคอีสาน
เพราะฉะนั้น ด่านชายแดนเป็นหนึ่งในจุดที่นำศักยภาพไปใช้ในการพัฒนาภาคอีสานได้ โดยเราต้องทำให้ด่านชายแดน 10+3 ในภาคอีสาน ไม่ใช่แค่ให้สินค้าผ่านเข้าผ่านออกเท่านั้น แต่ต้องดูประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับอีสานของเราด้วย
แง่ของการลงทุน ปี 2566-2567 ในส่วนระเบียงเศรษฐกิจภาคอีสาน (NeEC) มีเม็ดเงินลงทุนอยู่ที่ 9.2 หมื่นล้านบาท โดยเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ลม แดด หรือปิโตรเลียม ก็มี ทั้งนี้ การพัฒนาเรื่องระเบียงเศรษฐกิจในทุกพื้นที่ต้องมีความบาลานซ์กัน เพราะต้องให้การพัฒนาประเทศในภาพรวมมีความสมดุลกัน และการเจริญเติบโตของทุกภูมิภาคจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของประเทศในอนาคต
ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน ของภาคอีสานที่โดดเด่นคือ โครงข่ายระบบราง รถไฟทางคู่ เป็นยุทธศาสตร์และโอกาสของอีสาน โดยโครงข่ายทางคู่ ระยะที่ 1 ในส่วนอีสาน มี ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ที่เปิดให้บริการแล้ว ส่วนต่อไปคือ มาบกะเบา-ชุมทางจิระ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2569 ขณะที่โครงการระยะที่ 2 จะเชื่อมโยงอีสานกับภาคใต้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570
นอกจากนี้ ยังมีรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา คาดว่าแล้วเสร็จปี 2571 ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องการขนส่งสินค้า แต่เป็นการเคลื่อนย้ายคน ทำให้เดินทางของคนด้วย เด็กโคราชอาจจะไปเรียนกรุงเทพฯ หรือคนกรุงเทพฯมาโคราช ซึ่งก็ต้องเตรียมความพร้อมให้ดี ส่วนระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย คาดว่าแล้วเสร็จปี 2572 และมีแผนการเชื่อมรถไฟไทยไปลาว ถึงจีนอีกต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่จะเปิดอีสานสู่สาธารณะ เชื่อมอีสานกับทุกพื้นที่ และสร้างโอกาสให้ภาคอีสานในทุกด้าน ไม่ว่าท่องเที่ยวและธุรกิจ
ทั้งนี้ ศักยภาพของภาคอีสาน ได้แก่ การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญของประเทศ ศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ด่านชายแดนและผ่านแดนไปลาว เวียดนาม กัมพูชา และจีน มีการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และมีสถาบันการศึกษามีศักยภาพในการสนับสนุนการพัฒนาภาค
ส่วนความท้าทายสำคัญของภาคอีสาน คือ เรื่องโครงสร้างประชากร ที่เป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ไปแล้ว และกำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด คือมีประชากรอายุเกิน 65 ปี เกิน 20% ในเร็ว ๆ นี้
นอกจากนี้ คือเรื่องเมกะเทรนด์โลก อาทิ พลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก ที่มากกว่าพลังงานลม แสงแดด หรือเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงเรื่องเทคโนโลยี และเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมของคนต่างวัย