
คอลัมน์ : Next normal ผู้เขียน : ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร EXIM BANK
นับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลปีใหม่กันแล้ว หลายท่านน่าจะกำลังวางแผนไปเที่ยวหรือกลับบ้านไปพบปะกับญาติสนิทมิตรสหาย ทำให้บรรยากาศดูจะเริ่มคึกคักมากขึ้นในหลายพื้นที่ ผมเห็นแล้วก็มีความหวังว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าน่าจะมีโมเมนตัมที่ดีขึ้น วันนี้ผมจึงอยากจะชวนท่านผู้อ่านมาฉายภาพเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรและมีปัจจัยอะไรที่เราต้องจับตามองบ้าง ผ่านการ Countdown 3 2 1 0 ไปพร้อม ๆ กัน ดังนี้
3…ลุ้นเศรษฐกิจและส่งออกโต 3% หากทำได้จะเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่เศรษฐกิจไทยก้าวพ้นกับดัก 1-2% โดยสิ่งที่เราน่าจะเห็นในปี’68 คือ เครื่องยนต์เศรษฐกิจทุกตัวกลับมาเดินเครื่องพร้อมกัน โดยเฉพาะเครื่องยนต์ภาครัฐที่ติด ๆ ดับ ๆ มาหลายปี จะเป็นตัวเร่งสำคัญดันให้การบริโภคและการลงทุนโดยรวมขยายตัวได้
แต่ไส้ในที่ยังต้องลุ้นคือ การบริโภคสินค้าคงทนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมว่า จะกลับมาฟื้นได้เร็วแค่ไหนหลังยังเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจที่สูงแตะ 90% ต่อ GDP ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เห็นได้จากสินเชื่อปี’67 ที่อาจหดตัวครั้งแรกในรอบ 14 ปี ในส่วนการส่งออกน่าจะยังโตต่อได้ที่ราว 3%
หลัง IMF คาดว่า เศรษฐกิจและการค้าโลกปี’68 ยังโตในเกณฑ์ดีที่ 3.2% และ 3.3% ตามลำดับ ประกอบกับสินค้าไทยหลายชนิดก็ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังได้อานิสงส์จากกระแส AI สินค้าเกษตรและอาหารจากความกังวล Food Security ตลอดจนสินค้า Lifestyle ที่ไทยยังอาศัย Soft Power ต่อยอดได้ อาทิ เครื่องสำอาง เครื่องใช้เดินทาง ของตกแต่งบ้าน เป็นต้น
แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ สินค้าจีนราคาถูกที่อาจทะลักมาแข่งขันมากขึ้น อีกทั้งยังต้องลุ้นว่าทรัมป์จะขึ้นภาษีประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น
2…รับมือโลก 2 ขั้ว ผันผวน 2 ทาง การกลับมาของทรัมป์สมัยที่ 2 (Trump 2.0) มาพร้อมกับอาวุธหนักอย่าง “ภาษีนำเข้า” ที่ทรัมป์มักใช้ต่อรองกับประเทศอื่น ๆ เพราะสหรัฐเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดในโลก ล่าสุดแม้ทรัมป์จะยังไม่เข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ขู่ขึ้นภาษีจีน 10% และเม็กซิโกกับแคนาดาอีก 25% เพื่อให้เร่งจัดการกับปัญหาผู้อพยพและยาเสพติด รวมถึงขู่ขึ้นภาษีกลุ่ม BRICS 100% หากยังพยายามสร้างเงินสกุลใหม่มาแข่งกับดอลลาร์สหรัฐ
ทำให้ในปีหน้าเราอาจได้เห็นทรัมป์ใช้กลยุทธ์ “เขียนเสือให้วัวกลัว” ผ่าน Social Media แทบจะรายวัน ก่อนที่จะลงโต๊ะเจรจา ส่งผลให้สถานการณ์ต่าง ๆ คาดการณ์ได้ยากและผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดการเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อาจไม่ได้ลดลงเร็วเพราะกลัวเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า ตลอดจนค่าเงินทั่วโลกที่อาจเหวี่ยงแรงขึ้น หลังปี’67 ค่าเงินตลาดเกิดใหม่หลายสกุลเหวี่ยงขึ้นลงกว่า 10% รวมถึงค่าเงินบาทก็เช่นกัน
1…เร่งต่อยอดธุรกิจไทยให้ยืน 1 แม้จะมีความไม่แน่นอนจาก Trump 2.0 แต่ก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจไทยที่มีศักยภาพไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยวที่เราเป็น 1 ใน Top Destination ของโลกที่น่าจะโตต่อได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะแตะ 40 ล้านคนเท่ากับก่อน COVID-19 แล้ว ซึ่งจะช่วยหนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ โรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร เป็นต้น
ซึ่งหลายธุรกิจมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ สถานการณ์ Decoupling ก็ยังเร่งให้เกิดการย้ายฐานผลิตออกจากจีนเป็นระยะ ไทยก็ถือเป็นเป้าหมายของเงินลงทุนดังกล่าวเช่นกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ไทยมี Supply Chain แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ที่เรายืน 1 ด้าน Hard Disk Drive
ซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผงวงจรไฟฟ้า (PCB) หรือ Data Center รวมถึงยานยนต์ที่ไทยยังติด 1 ใน 10 การผลิตรถยนต์สันดาปมากที่สุดในโลก ที่อาจต่อยอดไปสู่การเป็นฐานการผลิตรถไฟฟ้าสำคัญในภูมิภาค ยังไม่นับรวมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่ไทยติด Top 10 โลกในหลายมิติ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือ การที่ไทยเป็นฐานการผลิตแฝงให้จีนส่งออกไปสหรัฐ ทำให้ไทยอาจโดนหางเลขถูกเก็บภาษีไปด้วยอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับกรณียางล้อและแผงโซลาร์มาแล้ว
0…Net Zero สะดุด ?…แต่ต้องเดินต่อ ปีหน้าถือเป็นปีที่ท้าทายอย่างมากต่อความพยายามในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของโลก เพราะการกลับมาของทรัมป์ที่เขายังเชื่อว่า โลกร้อนเป็นเรื่องหลอกลวง ทำให้สหรัฐอาจถอนตัวออกจาก Paris Agreement อีกครั้ง ซึ่งหากสหรัฐซึ่งเป็นผู้ปล่อย CO2 อันดับ 2 ของโลก (สัดส่วน 12%) ใช้นโยบายส่งเสริมพลังงานฟอสซิลก็อาจทำให้โลกบรรลุเป้าหมายได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ ล่าสุดการประชุม COP29 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา แม้ประเทศพัฒนาแล้วจะใส่เงินช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น แต่ก็ดูจะยังไม่เพียงพอต่อความจำเป็นที่โลกยังต้องการ Climate Finance มากถึง 8.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
เพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 ํC ทั้งนี้ แม้ระยะสั้นความพยายามดังกล่าวอาจสะดุดไปบ้าง แต่ในระยะยาวแล้วปัญหาโลกร้อนคงเป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายมากขึ้น ทั้งกำลังกายและกำลังเงิน Actions speak louder than words. ครับ
ปีหน้าคงเป็นอีกปีที่ผู้ประกอบการคงต้องติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับตัว กระจายความเสี่ยงและหาโอกาสท่ามกลางความไม่แน่นอน สุดท้ายนี้ ผมก็ขอถือโอกาสสวัสดีปีใหม่กับผู้อ่านทุกท่านล่วงหน้า ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จดั่งที่ปรารถนาทุกประการ Happy New Year ครับ