
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 16-20 ธันวาคม 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (16/12) ที่ระดับ 34.12/13 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/12) ที่ระดับ 31.11/1 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทาง
โดยในวันจันทร์ (16/12) เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นประเดือน ธ.ค.ของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 48.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 49.7 ในเดือน พ.ย. บ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิต ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 38 เดือน มากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 58.5 จากระดับ 56.1 ในเดือน พ.ย. บ่งชี้ว่าภาคบริการยังคงมีการขยายตัว สำหรับตัวเลขในวันอังคารและวันพุธยังออกมาผสมผสานโดยตัวเลขยอดค้าปลีกออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ส่วนตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ในช่วงคืนวันพุธ (18/12) ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนี Dollar Index ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ระดับ 108.25 ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 หลังคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดได้ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเหลือเพียง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปี 2568 ซึ่งถือว่าเป็นการชะลงลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือน ก.ย. ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งรวม 1.00% ในปี 2568 ทางด้านเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมว่า เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคตนั้น จะเป็นไปอย่างระมัดระวังและจะขึ้นอยู่กับว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงหรือไม่ ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเฟดเริ่มตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่ภาวะเศรษฐกิจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหัฐ
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ในช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินบาทเริ่มทยอยปรับตัวเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าเล็กน้อย ท่ามกลางกระแสเงินไหลออกของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยในวันพุธ (18/12) ค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี
โดยมีเหตุผลสนับสนุนว่า เศรษฐกิจไทยนั้นได้เผชิญความท้าทายจากการแข่งขันจากภาวนอกที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก แต่ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังฟื้นตัวได้ช้าโดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง คณะกรรมการจึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อมีแนวโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว
รวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 และ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ และคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 และ 2568 จะอยู่ที่ร้อยละ 0.4 และ 1.1ตามลำดับ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ในช่วงปลายสัปดาห์ หลังนักลงทุนทราบผลการประชุมของเฟด ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงยังมีนัยสำคัญขึ้นมาซื้อขายเหนือระดับ 34.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ในช่วงระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 34.03-34.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (20/12) ที่ระดับ 34.42/44 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (16/12) ที่ระดับ 1.0519/21 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (13/12) ที่ระดับ 1.0426/28 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย หลังเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซนเพิ่มขึ้นเป็น 49.5 ในเดือน ธ.ค. จาก 48.3 ในเดือน พ.ย. ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเหลือ 48.2
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นเพิ่มขึ้นแตะ 51.4 ในเดือน ธ.ค. จาก 49.5 ในเดือน พ.ย. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขจะทรงตัว อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นอยู่ที่ 45.2 ในเดือน ธ.ค. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน พ.ย. และต่ำกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อยที่ 45.3 โดยอยู่ระดับต่ำกว่า 50 ติดต่อกันมาตั้งแต่กลางปี 2565 ในภาพรวมพบว่ากิจกรรมทางธุรกิจในกลุ่มประเทศยูโรโซนมีอัตราการชะลอตัวที่ลดลงในเดือน ธ.ค.นี้ โดยเฉพาะภาคบริการที่มีการเติบโตอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามในช่วงคืนวันพุธ (18/12) ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับราว 1.0350 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร จากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐหลังการประชุมเฟดเสร็จสิ้นลง นอกจากนี้ค่าเงินยูโร ยังถูกกดดันหลังสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (Eurostat) ได้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนลดลง 0.3% ในเดือน พ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และปรับตัวขึ้น 2.2% ในเดือน พ.ย. จากระดับ 2.0% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน
ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.7% ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับต่ำ และมีความเป็นไปได้ที่ทาง ECB จะพิจารณาลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปในปี 2568 ทั้งนี้ในช่วงระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0344-1.0532 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (20/12) ที่ระดับ 1.0384/85 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดวันจันทร์ (16/12) ที่ระดับ 153.70/73 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (13/12) ที่ะดับ 153.40/43 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าเล็กน้อย แม้ว่าเอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขั้นต้นในภาคการผลิตปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.5 มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 49.2 และเป็นการปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 49.0
โดยหนังจากที่มีการประชุมเฟดในคืนวันพุธ (18/12) ค่าเงินเยนได้ปรับตัวอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจนถึงการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในเช้าวันพฤหัสบดี (19/12) ที่ BOJ ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม โดยคณะกรรมการ BOJ ได้มีท่าทีระมัดระวังท่ามกลางควมไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งนี้ BOJ ยังไม่ปิดโอกาสในการปรับนโยบายการเงินในอนาคต
โดยนายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ได้แถลงข่าวภายหลังการประชุมว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเรา เราก็จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในส่วนช่วงเวลาของการปรับขนาดของมาตรการสนับสนุนทางการเงินนั้น จำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจ ทั้งนี้ในช่วงระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 153.17-157.91 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (20/12) ที่ระดับ 156.64/66 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ