
ธุรกิจประกันวินาศภัย 9 เดือนแรกปี 2567 กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 16,224 ล้าน ลดลง 8.2% กำไรรับประกันภัยติดลบหนัก 28.9% เอฟเฟ็กต์ “รถยนต์-ทรัพย์สิน-สุขภาพ” เคลมพุ่ง เบี้ยทั้งระบบเหลือ 2.09 แสนล้าน ติดลบ 0.5% ลุ้นสิ้นปีพลิกบวก 0 – 1% คาดการณ์ปี 2568 เบี้ยโต 1.5 – 2.5% แตะ 2.91 – 2.94 แสนล้าน
ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย (TGIA) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) อุตสาหกรรมประกันวินาศภัยมีกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 16,224 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 8.2% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มีรายได้จากการลงทุนสุทธิ 7,271 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% แต่มีกำไรจากการรับประกันภัย 9,448 ล้านบาท ลดลง 28.9% โดยปรับตัวลดลงจากอัตราความเสียหายจากเคลมสินไหม (Loss Ratio) ที่เพิ่มขึ้นของประกันภัยรถยนต์ ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน และประกันภัยสุขภาพ
โดยประกันภัยรถยนต์มี Loss Ratio อยู่ที่ 61.7% มาจากประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ที่มีอัตราเคลมสินไหมปรับขึ้นเป็น 59.6% จาก 57.4% YOY และประกันรถภาคบังคับ ปรับขึ้นเป็น 76.5% จาก 72.2% ขณะที่ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน มีอัตราเคลมสินไหมปรับขึ้นเป็น 44% จาก 28.5% และประกันภัยสุขภาพ มีอัตราเคลมสินไหมปรับขึ้นเป็น 65.5% จาก 58.5%
ในปี 2567 ยอมรับว่าเป็นปีที่ธุรกิจประกันวินาศภัยต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ส่งผลให้ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบน้อยลง ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ เป็นอีกหนึ่ง “ระเบิดเวลา” ถ้าไม่มีการแก้ไขให้ทันท่วงที
นอกจากนี้ยังเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่เพิ่มและเกรี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น มีความท้าทายในการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นความเสี่ยงอุบัติใหม่ของภาคธุรกิจประกันวินาศภัย และมีผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์
อีกทั้งในช่วงปลายปียังเผชิญกับระดับความความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่แทบจะเกิดในทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ที่ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น จากช่วงหลายปีก่อนเรื่องภัยน้ำท่วมแทบจะเป็นการแถมเข้าไปในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย แต่ช่วงหลังภัยน้ำท่วมกลายเป็นส่วนที่สร้างความเสียหายหรือกดดันยอดการจ่ายเคลมสินไหมพุ่งสูง
แต่อย่างไรก็ตามธุรกิจประกันวินาศภัยยังคงทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการรองรับความเสี่ยง และสร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจไทย
เบี้ยรถยนต์ 1.16 แสนล้าน ติดลบ 1.3%
สำหรับภาพรวมเบี้ยประกันภัยรับรวมในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ดร.สมพร กล่าวว่า ภาคธุรกิจมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 209,060 ล้านบาท ติดลบ 0.5% YOY ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ๆ ที่ภาคธุรกิจเผชิญผลประกอบการติดลบ โดยแยกออกเป็น
- ประกันภัยรถยนต์ มีเบี้ยรับรวม 116,909 ล้านบาท ลดลง 1.3%
- ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน มีเบี้ยรับรวม 25,281 ล้านบาท ลดลง 2.3%
- ประกันภัยอุบัติเหตุ มีเบี้ยรับรวม 23,900 ล้านบาท ลดลง 0.1%
- ประกันภัยสุขภาพ มีเบี้ยรับรวม 12,218 ล้านบาท ลดลง 0.6%
- ประกันอัคคีภัย มีเบี้ยรับรวม 8,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3%
- ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง มีเบี้ยรับรวม 5,216 ล้านบาท ลดลง 2.1%
- ประกันภัยความรับผิด มีเบี้ยรับรวม 3,003 ล้านบาท ลดลง 0.6%
- ประกันภัยการเดินทาง มีเบี้ยรับรวม 1,939 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2%
- ประกันภัยอื่น ๆ มีเบี้ยรับรวม 12,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%
โดยเบี้ยประกันรถยนต์ที่หดตัว มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทำให้ยอดขายรถใหม่หดตัว 26% YOY และเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยลดลงจากความนิยมในการซื้อกรมธรรม์ประเภท 1 น้อยลง ส่วนเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่งที่หดตัว มาจากปัญหาสินค้าส่งออกล้นตลาดจากประเทศจีน ส่งผลกระทบการส่งออกสินค้าไทย ประกอบกับเบี้ยประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเลและการขนส่งสินค้าทางรถบรรทุกหดตัว
ส่วนการเติบโตของเบี้ยประกันอัคคีภัยอย่างมีนัยสำคัญนั้น มาจากคนตระหนักความเสี่ยงเกี่ยวกับภัยน้ำท่วมมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากสถาบันการเงินที่มีการปล่อยกู้และชักชวนให้ทำประกันอัคคีภัย
“ปัจจุบันเบี้ยประกันภัยรถยนต์ (Motor) คิดเป็นสัดส่วนราว 56% แยกเป็นประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (49%) ประกันภัยภาคบังคับ (7%) และที่เหลือมาจากประกันภัยที่ไม่ใช่รถ (Non-motor) สัดส่วน 44%”
ลุ้นสิ้นปีเบี้ยพลิกบวก 2.85-2.88 แสนล้าน
สำหรับประมาณการเบี้ยรับรวมทั้งระบบในช่วงสิ้นปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 285,790 – 288,650 ล้านบาท เติบโตระหว่าง 0 – 1% YOY เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของยอดขายรถใหม่ในช่วงปลายปีที่ได้รับแรงกระตุ้นและมาตรการสินเชื่อที่เริ่มผ่อนคลาย รวมถึงการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาอาจส่งผลให้คนผ่อนสินเชื่อที่อยู่อาศัยนานขึ้น ทำให้มีความจำเป็นต้องต่ออายุกรมธรรม์
ขณะเดียวกันเชื่อมั่นว่าประชาชนตระหนักและให้ความสนใจซื้อประกันสุขภาพ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัดในหัวเมืองใหญ่ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ประกอบกับเบี้ยประกันสุขภาพปรับตัวสูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล (Medical Inflation)
ปี 68 คาดเบี้ยโต 1.5-2.5%
ดร.สมพร กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มปี 2568 คาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่ 2.3 – 3.3% และเบี้ยรับรวมเติบโต 1.5 – 2.5% มาอยู่ที่ 291,240 – 294,100 ล้านบาท โดยจากแนวโน้มการลงทุนของภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และการสร้างโอกาสในการแข่งขันของประเทศไทย ขณะเดียวกันเห็นการตอบรับจากภาคเอกชนที่จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการผลักดันมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่จะทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนั้นมีปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจประกันภัย ขณะที่การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล (InsurTech) เป็นปัจจัยหลักในการผลักดันธุรกิจประกันภัยไปข้างหน้า ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น
รวมถึงปัจจุบันประชาชนต่างตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัยและการเสี่ยงภัยธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ปี 2568 ประกันอัคคีภัยจึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ด้านประกันภัยการเดินทางยังคงเติบโต ด้วยปัจจัยบวกจากการแข็งค่าของเงินบาทและการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล
และเชื่อว่ายอดขายรถใหม่จะฟื้นตัวจากเศรษฐกิจที่ได้รับการกระตุ้นและมาตรการสินเชื่อที่เริ่มผ่อนคลาย และเบี้ยประกันภัยอาจปรับตัวสูงขึ้นจาก Loss Ratio ที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ในระยะยาวการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมาย มีแนวโน้มความต้องการมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากประชาชนรับรู้ถึงสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายเมื่อถูกละเมิด ทำให้ภาพรวมในปี 2568 ธุรกิจประกันภัยยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“อย่างไรก็ตามในปี 2568 ยังมีความท้าทายอยู่ ทั้งภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี สงครามการค้าและการขึ้นกำแพงภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ การจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบกับองค์กรทุกระดับ การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม ทำให้ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ และแนวโน้มการซื้อความคุ้มครองที่น้อยลงของผู้บริโภคสำหรับการประกันภัยรถยนต์ โดยเปลี่ยนจากกรมธรรม์ประเภท 1 เป็น 2+ 3+ และ 3 อาจส่งผลให้เบี้ยประกันภัยเฉลี่ยลดลง
“อย่างไรก็ดีธุรกิจประกันวินาศภัย มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้บุคคลและธุรกิจสามารถก้าวผ่านความเสี่ยงต่าง ๆ ไปได้ ไม่เพียงแต่ให้ความคุ้มครองทางการเงินเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาว ธุรกิจประกันวินาศภัยถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเข้าใจความเสี่ยงและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้ดำรงอยู่ และเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายกสมาคมฯ กล่าว