THG เคลียร์ทุกปม บอร์ดย้ำ ‘หมอบุญ’ ไม่มีส่วนร่วมลงทุน ‘จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้’

ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป

THG เคลียร์ทุกปม บอร์ดมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเน้นย้ำให้สาธารณชนรับทราบว่า “หมอบุญ วนาสิน” ไม่มีส่วนร่วมลงทุนโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ บริษัทยังคงยึดมั่นในหลักการบริหารจัดการที่โปร่งใส เชื่อมั่นจะช่วยเพิ่มความชัดเจนให้แก่นักลงทุน

นางสาวจินดา อริยพรพงศ์ เลขานุการบริษัท บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้บริษัทชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบการเงินรวมของบริษัท สำหรับงวด 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 และโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ นั้น คณะกรรมการบริษัทได้ประชุมกันเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 โดยได้พิจารณาข้อสอบถามเพิ่มเติมของตลาดหลักทรัพย์ฯ และขอเรียนชี้แจงดังนี้

1.การตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัท

ตามงบการเงินรวมของบริษัท สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัท (ค่าเผื่อฯ) รวมทั้งสิ้นจำนวน 336 ล้านบาท ซึ่งเพิ่ม 343% เมื่อเทียบกับงบการเงินรวมของบริษัท สำหรับปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 นั้น บริษัทขอเรียนชี้แจงสาเหตุและรายละเอียดตามกลุ่มลูกหนี้ค่าเผื่อฯ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

1.1 กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19

บริษัทและบริษัทย่อย อันได้แก่ บจ.โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง (THB) บมจ.โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี บจ.ตรังเวชกิจ และ บจ.ธนบุรี เวลบีอิ้ง (บริษัทย่อย) มีลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 ซึ่งรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท

ADVERTISMENT

สาเหตุของการรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท นั้น เป็นเพราะที่ผ่านมา บริษัทและบริษัทย่อยประสบปัญหาเกี่ยวกับการได้รับชำระเงินจากหน่วยงานภาครัฐ ในส่วนของการเบิกจ่ายจากการให้บริการรักษาพยาบาลในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

โดยในช่วงปี 2564-2566 บริษัทและบริษัทย่อย โดยเฉพาะ บจ.โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง (THB) ได้รับรู้รายได้จากการให้บริการผู้ป่วยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีการประมาณการส่วนลดเพื่อสะท้อนจำนวนเงินที่คาดว่าจะได้รับชำระ

ADVERTISMENT

ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราที่ได้รับชำระจริงในอดีต โดยใช้อัตราส่วนที่คาดว่าจะได้รับชำระในช่วงระหว่าง 29% ถึง 60% ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามหลักความระมัดระวัง และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป

ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อย ได้รับรู้รายได้โดยรับรู้ประมาณการส่วนลด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราส่วนลดที่เกิดขึ้นจริงแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 มีสถานะค้างชำระนานเกินกว่า 365 วัน และการชำระหนี้จากหน่วยงานภาครัฐที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ

แม้ว่าบริษัทและบริษัทย่อยจะติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทและบริษัทย่อยต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนในอนาคต ดังนั้นเพื่อสะท้อนความเสี่ยงทางการเงินอย่างเหมาะสมและระมัดระวัง บริษัทและบริษัทย่อยจึงได้ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวน 75% ของมูลหนี้คงเหลือ

อย่างไรก็ตาม หากภายในสิ้นปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทและบริษัทย่อยยังไม่ได้รับการชำระหนี้คืนจากหน่วยงานภาครัฐสำหรับลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 นี้ บริษัทและบริษัทย่อยจะพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมเป็น 100% ของมูลหนี้คงเหลือ ซึ่งจะมีมูลค่าประมาณ 81 ล้านบาท การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ ดังกล่าวสะท้อนถึงการประเมินความเสี่ยงผลขาดทุนด้านเครดิตและเป็นการดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง

1.2 ลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วยซึ่งรับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยตนเอง โดยไม่ผ่านบุคคลที่สาม เช่น บริษัทประกันสุขภาพ (ลูกหนี้ Self-pay)

ในปี 2566 บริษัทย่อยของบริษัทราย บริษัท โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง จำกัด (THB) ได้บันทึกบัญชีลูกหนี้คงค้างในกลุ่มลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 42 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีอย่างละเอียด ในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทได้พิจารณาแล้วว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่อาจไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ เพื่อให้การบันทึกบัญชีสะท้อนถึงสภาพการณ์ที่แท้จริง และสอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง บริษัทจึงได้ตัดสินใจตั้งค่าเผื่อฯ ไว้เต็มจำนวนสำหรับยอดลูกหนี้ดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรายการลูกหนี้ดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบของรายการอันควรสงสัย และได้จัดส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว

1.3 ลูกหนี้การค้าอื่น และลูกหนี้อื่น

ในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทย่อยของบริษัทราย บจ.ตรังเวชกิจ ตั้งค่าเผื่อฯจำนวน 1 ล้านบาท สำหรับรายการลูกหนี้การค้าอื่น ซึ่งเป็นการตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมสำหรับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งค้างชำระนานเกินกว่า 180 วัน เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ด้านเครดิตของลูกหนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลง

ในช่วงเวลาเดียวกัน บจ.โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ได้ตั้งค่าเผื่อฯ เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท สำหรับรายการลูกหนี้อื่น โดยบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ และถือเป็นรายการอันควรสงสัย โดยบริษัทได้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลนี้ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบของรายการอันควรสงสัย และได้จัดส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการดังกล่าวไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว

ความเห็นของคณะกรรมการบริษัท ได้เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้นและมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้

การตั้งค่าเผื่อฯ สำหรับลูกหนี้กลุ่ม COVID-19 ในจำนวนที่มีนัยสำคัญ เป็นการดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง แม้ว่าลูกหนี้จะเป็นหน่วยงานภาครัฐ สำหรับลูกหนี้อื่นนั้น บริษัทได้ดำเนินการเช่นเดียวกัน ซึ่งบริษัทได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก่อนหน้านี้ และอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบริษัท

การตั้งค่าเผื่อฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องของกลุ่มบริษัท เนื่องจากผลประกอบการจากการดำเนินงานตามปกติ (ไม่รวมการบันทึกบัญชีค่าเผื่อฯ) ไม่ได้ประสบภาวะขาดทุนจากการดำเนินงานแต่อย่างใด

การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯนั้น บริษัทได้มีการหารือร่วมกับผู้สอบบัญชีเป็นประจำทุกปี โดยยึดหลักความระมัดระวังที่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เป็นกระบวนการที่เป็นไปตามปกติของการดำนินธุรกิจ หากมีความจำเป็นต้องตั้งค่าเผื่อฯ หรือรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่า บริษัทจะพิจารณาและดำเนินการตามมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินสะท้อนถึงสถานะและผลการดำเนินงานของบริษัท

2.รายการกับ Bewell Saigon Health Clinic Company Limited

ในปี 2566 บริษัทได้เข้าทำข้อตกลงร่วมทุนกับ IFF Holdings Joint Stock Company เพื่อจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง โดย IFF Holdings Joint Stock Company จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 60% และบริษัท (หรือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท) จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 40% (บริษัทโฮลดิ้ง) และบริษัทโฮลดิ้งจะถือหุ้น 100% ใน Bewell Saigon Health Clinic Company Limited (Bewell) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศเวียดนามเพื่อดำเนินธุรกิจคลินิกตรวจสุขภาพเชิงลึก โดย IFF Holdings Joint Stock Company มิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทแต่อย่างใด

ในปี 2566 และ 2567 บริษัทได้ให้การสนับสนุนทางการเงินในรูปแบบเงินให้กู้ยืมแก่ Bewell เพื่อใช้สำหรับการตกแต่งสถานที่ ซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือ และการเช่าพื้นที่สำหรับการตั้งคลินิก ระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 12 เดือน อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ณ ปัจจุบัน Bewell มีภาระหนี้คงค้างประมาณ 49 ล้านบาท (เทืยบเป็นเงินบาทไทย)

นอกจากนี้ ผู้ร่วมทุน IFF Holdings Joint Stock Company ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ Bewell เช่นกัน จำนวนประมาณ 12.5 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย) พร้อมทั้งสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ทางการเงิน เช่น การจัดหาสถานที่ การบริหารและควบคุมกระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนการจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับเงินกู้บางส่วนซึ่งบริษัทได้ให้แก่ Bewell จำนวนประมาณ 12.6 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดชำระแล้วนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาแปลงหนี้ดังกล่าวเป็นเงินลงทุนในบริษัทโฮลดิ้ง และ/หรือ Bewell โดยมีกำหนด เป้าหมายในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2568

ในส่วนของใบอนุญาตดำเนินการคลินิกของ Bewell นั้น บริษัทคาดการณ์ว่า Bewell จะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาส 1 ปี 2568

ความเห็นของคณะกรรมการบริษัท ได้เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารดำเนินการติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และรายงานผลให้คณะกรรมการบริษัททราบในการประชุมคณะกรรมการคราวถัดไป เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด

3.รายการเกี่ยวกับหุ้นกู้ของบริษัท

จากผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย ซึ่งไม่เป็นไปตามคาดการณ์ รวมถึงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาที่บริษัททำไว้กับ Credit Guarantee and Investment Facility, a trust fund of the Asian Development Bank (CGIF) ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้หุ้นกู้ของบริษัท

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินที่กำหนดไว้ตามสัญญาได้นั้น ไม่มีผลทำให้ผู้ค้ำประกันหนี้หุ้นกู้สามารถเพิกถอนการค้ำประกันหุ้นกู้ได้ และไม่มีผลทำให้บริษัทตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ตามหุ้นกู้แต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผลจากการไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวได้ ทำให้บริษัทมีภาระต้องชำระค่าปรับให้แก่ CGIF ตามข้อกำหนดในสัญญา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานปกติของสัญญาประเภทนี้ ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับ CGIF เพื่อขอผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการในสัญญา ซึ่งบริษัทคาคว่าจะได้รับข้อสรุปดังกล่าวภายในใตรมาส 1 ปี 2568

ความเห็นของคณะกรรมการบริษัท ได้เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเจรจาผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการกับ CGIF เพื่อให้บริษัทไม่ต้องมีภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นมากนัก

4.รายการเกี่ยวกับโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้

4.1 สถานะและความคืบหน้าของการขายโครงการ

บริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด (ธนบุรี เวลบีอิ้ง) ยังคงดำเนินการขายโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ตามปกติ ซึ่งโครงการมีจำนวนห้องทั้งหมด 494 ห้อง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 โครงการมีจำนวนห้องที่ยังไม่ได้ขายจำนวน 234 ห้อง โดย ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย

เช่น การออกบูทประชาสัมพันธ์โครงการ และการนำเสนอโครงการผ่านช่องทองทางสื่อสารต่าง ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความรับรู้ในตัวโครงการอย่างสม่ำแสมอ และในเดือนธันวาคม 2567 ธนบุรี เวลบีอิ้ง เตรียมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 3 ห้อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้รับผลกระทบจากข่าวต่าง ๆ ในทางลบ ทำให้ลูกค้ายกเลิกการซื้อกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 2 ห้อง และขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดสำเร็จเพียง 1 ห้อง

4.2 การเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน

รายการซึ่งมีการเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนคือ ที่ดินที่ ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้จัดสรรไว้สำหรับการพัฒนาโครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เฟส 2 และ 3 ในอนาคต โดยที่ดินดังกล่าวมีขนาดพื้นที่ 28,469.44 ตร.ว. มูลค่าต้นทุน 840.39 ล้านบาท ซึ่งเดิมจัดอยู่ในประเภทสินทรัพย์หมุนเวียน

อย่างไรก็ตาม หลังจากการประเมินสถานการณ์โดยรอบคอบ บริษัทเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงที่จะยังไม่มีการเริ่มต้นก่อสร้าง หรือพัฒนาในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า ซึ่งตามมาตรฐานบัญชี หากสินทรัพย์ไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะเวลาสั้น และมีลักษณะการถือครองเพื่อการพัฒนาในระยะยาว บริษัทจำเป็นต้องปรับปรุงการจัดประเภทของที่ดินดังกล่าวจาก “สินทรัพย์หมุนเวียน” เป็น “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” เพื่อให้สะท้อนถึงลักษณะการใช้งานจริง และสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต

4.3 การขายห้องชุดของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน

ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 ธนบุรี เวลบีอิ้ง มีรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการขายห้องชุดแบบตกแต่งครบ (Fully Fumished) ให้กับบริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด ซึ่งราคาขายดังกล่าวได้รวมค่าเฟอร์นิเจอร์ไว้ด้วย แต่เนื่องจากการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ยังไม่แล้วเสร็จ ธนบุรี เวลบีอิ้ง จึงยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในส่วนค่าเฟอร์นิเจอร์ตามมาตรฐานบัญชีได้ ต่อมาบริษัทดังกล่าวได้ขอยกเลิกการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ และ ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้หักลบกลบหนี้ระหว่างรายการค้างรับ และรายการค้างจ่าย

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาท ไม่ถือเป็นหนี้สินทางบัญชีอีกต่อไป

ความเห็นคณะกรรมการบริษัท ได้เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเน้นย้ำให้สาธารณชนรับทราบว่า นายแพทย์บุญ วนาสิน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยโครงการนี้เป็นการลงทุนโดย ธนบุรี เวลบีอิ้ง ซึ่งป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นเกือบทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน และโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ยังคงดำเนินการตามปกติ

บริษัทเชื่อมั่นว่าข้อมูลข้างต้นจะช่วยเพิ่มความชัดเจนให้แก่นักลงทุน ทั้งนี้ บริษัทยังคงยึดมั่นในหลักการบริหารจัดการที่โปร่งใส และมุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืนในระยะยาว