บาทแข็งค่า หลังเงินเฟ้อสหรัฐต่ำกว่าคาด เพิ่มโอกาสเฟดหั่นดอกเบี้ย

Thai baht banknotes and coins

เงินบาทแข็งค่า หลังเงินเฟ้อสหรัฐต่ำกว่าคาด เพิ่มโอกาสเฟดหั่นดอกเบี้ยในปี 2568 ชี้ช่วงปลายปีดอลลาร์จะอยู่ในแนวอ่อนค่า เนื่องจากเข้าใกล้วันหยุดคริสต์มาส

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (23/12) ที่ระดับ 34.26/27 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (20/12) ที่ระดับ 34.44/45 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินดอลลาร์ลดแรงบวกลงเมื่อเทียบเงินสกุลหลัก โดย Dollar Index เปิดตลาดปรับตัวลดลงที่ระดับ 107.72 โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (20/12) หลังกระทรวงพาณิชย์มีการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐ ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน หรือตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือน พ.ย.

และเมื่อเทียบรายเดือนดัชนี PCE ทั่วไปปรับตัวขึ้น 0.1% ซึ่งออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.2% ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2568 อีกทั้งในช่วงปลายปีนั้นดอลลาร์จะอยู่ในแนวอ่อนค่าเนื่องจากเข้าใกล้วันหยุดคริสต์มาส

ด้านปัจจัยภายในประเทศ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 67 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบร่างแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2569-2573 และจะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้

โดยได้กำหนดเป้าหมายด้านการคลังซึ่งจะมุ่งเน้นการรักษาขนาดการขาดดุลให้มีแนวโน้มลดลงใน 4 ปีข้างหน้า รวมทั้งรักษาระดับการก่อหนี้ใหม่ โดยตั้งเป้าไม่ให้ระดับหนี้สาธารณะเกิน 70% ต่อ GDP ตามกรอบวินัยของการคลัง โดยขยายตัวของเศรษฐกิจจากการขับเคลื่อน 4 เครื่องจักรเศรษฐกิจ ได้แก่ การท่องเที่ยว ความเชื่อมั่น การบริโภค การลงทุน การส่งออก จะเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สถานะการคลังของไทยมั่นคงขึ้น ทั้งนี้ระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 34.14-34.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.15/16 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ADVERTISMENT

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (23/12) ที่ระดับ 1.0427/30 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (20/12) ที่ระดับ 1.0384/86 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ถึงแม้ว่าในวันศุกร์ (20/12) ช่วงเย็นจะมีการเปิดเผยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค. ที่ปรับลดลงมาที่ระดับ -15 จากที่อยู่ระดับ -14 ในเดือนก่อนหน้า

ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.0404-1.0445 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0416/18 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

ADVERTISMENT

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินปอนด์เปิดตลาดเช้าวันนี้ (23/12) ที่ระดับ 1.2570/77 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (20/12) ที่ระดับ 1.2507/08 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ ถึงแม้ว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษในวันนี้ (23/12) ซึ่งไม่ขยายตัวในไตรมาส 3/2567 และเป็นการปรับลดการประเมินจากที่ประมาณการในเบื้องต้นว่า GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 0.1%

โดยที่ข้อมูลเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมตรีอังกฤษ ซึ่งเคยให้คำมั่นสัญญาไว้ในช่วงเข้ารับตำแหน่งว่า จะเพิ่มการจ้างงานและยกระดับมาตรฐานการครองชีพ แต่ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจกลับอ่อนแอลงอย่างมากหลังจากที่เคยเติบโตแซงหน้าทุกประเทศในกลุ่ม G7 ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ อีกทั้งธนาคารอังกฤษ (BOE) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจประเทศจะไม่ขยายตัวในไตรมาส 4 ของปี โดยในระหว่างวันค่าเงินปอนด์เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.2552-1.2588 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ และปิดตลาดที่ระดับ 1.2576/81 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (23/12) ที่ระดับ 156.66/67 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (20/12) ที่ระดับ 156.68/69 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ เงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบแคบเนื่องจากตลาดขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่และใกล้เข้าสู่เทศกาลของต่างประเทศ โดยนักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีผู้บริโภคขั้นพื้นฐาน (24/12) โดยคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 156.32-156.81 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 156.65/68 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือน พ.ย.จาก เฟดชิคาโก (23/12), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค CB Conference Board จากเดือน ธ.ค. (23/12), คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) เดือน พ.ย. (24/12), ยอดขายบ้านใหม่เดือน พ.ย. (24/12), รายงานสินค้าคงเหลือของน้ำมันดิบประจำไตรมาสจาก API (25/12), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (26/12), สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ (26/12), ดุลการค้าสินค้าเดือน พ.ย. (27/12)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7.00/-6.70 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -1.99/-0.23 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ