
ตลาดหุ้นกู้ในปี 2567 เป็นปีแรกนับตั้งแต่เกิดโรคโควิด ที่มีมูลค่าคงค้างปรับตัวลดลง เหลือ 4.62 ล้านล้านบาท ลดลง 4.4% เมื่อเทียบปี 2566 สอดคล้องมูลค่าการออกหุ้นกู้ในปีที่ผ่านมาที่ลดลง 10% อยู่ที่ 9.13 แสนล้านบาท โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้กลุ่มเสี่ยงสูง (High Yield Bond) ที่ลดลงไปถึง 49% ส่วนหุ้นกู้กลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ลดลง 6%
หุ้นกู้ถูกดาวน์เกรดพุ่ง
“อริยา ติรณะประกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ในปี 2567 มีบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ถูกปรับลดเครดิตเรตติ้ง เพิ่มขึ้นเป็น 46 บริษัท (ปีก่อนหน้ามีจำนวน 35 บริษัท) จากทั้งหมด 217 บริษัทที่มีการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้งและฟิทช์ เรทติ้งส์ โดยในจำนวน 46 บริษัท มีจำนวน 10 บริษัท (PRIME, EA, AGE, SG, CGH, PI, TPCH, TPOLY, MUD, SST) ที่ถูกดาวน์เกรดลงจากระดับลงทุน (BBB- ขึ้นไป) มาสู่ระดับต่ำกว่าลงทุน (BB+ ลงมา) ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว
ขณะที่หุ้นกู้มีปัญหากว่า 4.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% เทียบปี 2566 โดยผิดนัดชำระ 8 รุ่น จากผู้ออก 5 ราย (PPH, CISSA, IRIS, WTX, SABUY) มูลค่า 3,172 ล้านบาท
เลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้พุ่ง 51 รุ่น
ด้านหุ้นกู้ที่เลื่อนกำหนดชำระ มีจำนวน 51 รุ่น จากผู้ออก 17 ราย (ITD, SNW, GLOCON, PROEN, CGD, JCK, JCKD, ECF, APCS, EA, NWR, EP, A, WTX, PHUKET, SABUY, MDL) มีมูลค่าถึง 37,963 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2566 ที่มีหุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระ 37 รุ่น จากผู้ออก 14 ราย มูลค่า 12,443 ล้านบาท
10 บริษัทใหญ่ครบดีลมากสุด
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นกู้ในปี 2568 “อริยา” กล่าวว่า ปีนี้จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอน 893,275 ล้านบาท เป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade จำนวน 762,049 ล้านบาท คิดเป็น 85% และเป็นหุ้นกู้กลุ่ม High Yield อีก 131,227 ล้านบาท หรือ 15% โดยในไตรมาส 1 จะครบกำหนด 204,976 ล้านบาท ไตรมาส 2 ครบอีก 262,853 ล้านบาท ไตรมาส 3 ครบ 202,281 ล้านบาท และไตรมาส 4 ครบอีก 223,166 ล้านบาท
ทั้งนี้ 10 อันดับบริษัทที่ครบดีลมากสุดในปีนี้ คือ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) 41,572.8 ล้านบาท, บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) 40,000 ล้านบาท, บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น (TUC) 35,550.7 ล้านบาท, บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) 31,558.3 ล้านบาท, บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ (TBEV) 25,136 ล้านบาท, บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย)
หรือ TLT 23,957 ล้านบาท, บมจ.แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) 22,498.5 ล้านบาท, บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) 21,700 ล้านบาท, บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) 20,033.8 ล้านบาท และ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) 19,500 ล้านบาท
“3 เซ็กเตอร์หลักที่มีวงเงินครบกำหนดสูงที่สุด คือ 1.ไฟแนนซ์ 185,179 ล้านบาท 2.อสังหาริมทรัพย์ 168,211 ล้านบาท และ 3.พลังงาน 105,909 ล้านบาท โดยปีนี้คาดการณ์มูลค่าการออกหุ้นกู้ปี 2568 จะอยู่ที่ 8.5-9 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2567”
“อริยา” กล่าวว่า คาดการณ์ว่าหุ้นกู้กลุ่ม High Yield อาจมีการชะลอการออก จากที่มีความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย ต่อเนื่องมาจากปี 2567 และนักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุน เพราะกลัวการผิดนัด ทำให้บางบริษัทอาจต้องหาแหล่งเงินทุนอื่น เช่น กู้ยืมธนาคาร หรือกู้ยืมเงินจากคณะกรรมการบริษัท ซึ่งหากไม่สามารถดำเนินการได้ ต้องเจรจาผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขอยืดหนี้ออกไป
สหกรณ์เจอเกณฑ์ลงทุนเข้ม
หรือแม้แต่หุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade ที่ผู้ออกเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แม้จะสามารถโรลโอเวอร์ได้ครบวงเงินก็ตาม แต่จะมีความท้าทายเรื่องเกณฑ์ลงทุนใหม่ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ปรับเกณฑ์การลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์ให้ลงทุนได้ไม่เกิน 1 เท่าของทุนเรือนหุ้น+ทุนสำรอง
ซึ่งจะกระทบสหกรณ์ออมทรัพย์รายใหญ่ราว 150 แห่ง (มีสินทรัพย์เกิน 4,000 ล้านบาทขึ้นไป) ที่ส่วนใหญ่ลงทุนหุ้นกู้เกิน 3-4 เท่า ต้องชะลอการลงทุนออกไป ไม่สามารถจองซื้อหุ้นกู้เพิ่มได้ และต้องทยอยลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นกู้ลงตามเกณฑ์ โดยภาครัฐให้เวลาปรับตัวภายใน 10 ปี
“สหกรณ์ออมทรัพย์ถือเป็นผู้ลงทุนในตลาดหุ้นกู้รายใหญ่ ปัจจุบันมีมูลค่าคงค้างอยู่กว่า 5 แสนล้านบาท คิดเป็น 12% ของมูลค่าคงค้างตลาดหุ้นกู้ ทำให้หลังจากนี้ ยอดตอบรับการจองซื้อหุ้นกู้ Investment Grade อาจไม่สูง หรือจองล้นเหมือนในช่วงที่ผ่านมา”
คาดปีนี้ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง
“ดร.สมจินต์ ศรไพศาล” กรรมการผู้จัดการ ThaiBMA กล่าวว่า ในส่วนต้นทุนการกู้ยืมของผู้ออกหุ้นกู้ ในปี 2567 เกือบทุกเรตติ้งปรับตัวลงตามพันธบัตรรัฐบาล โดยเรตติ้ง AAA ถึง A ปรับตัวลง 29-30 bps ขณะที่เรตติ้ง BBB+ ปรับเพิ่มขึ้น 15 bps สะท้อนความระมัดระวังของผู้ลงทุน
โดยเฉพาะหุ้นกู้เรตติ้งต่ำ ๆ ส่วนหุ้นกู้เรตติ้งสูง ๆ นักลงทุนยังยินดีที่จะลงทุนอยู่ โดยสิ้นปี 2567 อัตราผลตอบแทนหุ้นกู้อายุ 5 ปี ของหุ้นกู้เรตติ้ง AAA, AA, A และ BBB+ อยู่ที่ 2.81%, 2.99%, 3.27% และ 4.67% ตามลำดับ
“คาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2568 จะปรับลด 2 ครั้ง รวม 0.50% เหลือ 1.75% จากปัจจุบันที่ 2.25% โดยจะเริ่มปรับลดช่วงไตรมาส 2 สำหรับคาดการณ์บอนด์ยีลด์อายุ 5 ปีและ 10 ปี จะปรับตัวลงเฉลี่ย 5-15 bps จากปลายปี 2567 จากปัจจัยทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย ดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ และส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกับสหรัฐ รวมถึงกระแสเงินลงทุนต่างชาติเป็นสำคัญ”