
จับตา MQDC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลเจียรวนนท์ เปิดขายหุ้นกู้ไม่มีการจัดเครดิตเรตติ้งจำนวน 3 รุ่น จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 7.20% ต่อปี ก.ล.ต.เปิดข้อมูล 8 ความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรู้ เผยยอดหุ้นกู้คงค้าง 17 รุ่น มูลค่า 4.5 หมื่นล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ของตระกูลเจียรวนนท์ เสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยถือว่าเป็น “หุ้นกู้เสี่ยงสูงมีประกัน” ทั้งสิ้น 3 ชุด ระหว่างวันที่ 10 และ 13-14 มกราคม 2568 ประกอบด้วย
- หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 9 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 6.15 ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 6.75 ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 3 ปี 5 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7.20 ต่อปี
ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท เสนอขายรวม 3 ชุด ไม่เกิน 2,700 ล้านบาท โดยเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ วัตถุประสงค์ของการขายหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำเงินไปชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ (roll-over) ภายในเดือนมกราคม 2568
โดยหุ้นกู้ของ MQDC ที่เสนอขาย เป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ “unrated” สำหรับผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ คือ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
8 ความเสี่ยง : นักลงทุนต้องรู้
นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เผยแพร่เอกสารการเสนอขายหุ้นกู้ของ MQDC ได้ระบุว่าเป็นหุ้นกู้ความเสี่ยงสูง พร้อมกับเปิดเผย 8 ความเสี่ยงของผู้ออกหุ้นกู้ดังนี้
1. ความเสี่ยงจากการที่บริษัทได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันในการชำระหนี้ให้กับกิจการที่เกี่ยวข้องกัน โดยบริษัทได้ทำสัญญาค้ำประกันรวมถึงใหกู้ยืมเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาวแก่บริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าจำนวนมาก โดยกำหนดเงื่อนไขการให้กู็ยืมแบบไม่รัดกุม นอกจากนี้บริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าหลายรายที่บริษัทใหกู้ยืมเงินมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ และมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทอาจมีหนี้สูยในอนาคตเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้บริษัทให้กู้ยืมเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาว แก่บริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าเพื่อนำไปลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการ The Forestias, โครงการ Cloud 11 เป็นต้น
2. ความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีรายได้ไม่สม่ำเสมอ และบริษัทมีผลประกอบการกำไรสุทธิที่ไม่ได้มาจาการดำเนินงาน โดยในปี 2565-2566 บริษัทมีกำไรสุทธิที่เกิดดอกเบี้ยรับและเงินปันผล ซึ่งมิใช่รายได้ที่เกิดจากการดำเนินงานของบริษัท โดยเมื่อไม่นับรวมรายได้ดังกล่าวบริษัทจะขาดทุนสุทธิ
ขณะที่งวด 6 เดือน ปี 2567 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 546.31 ล้านบาท และหากไม่นับรวมรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผล บริษัทจะขาดทุนสุทธิเท่ากับ 2,961.34 ล้านบาท
3. ความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว ICR และ DSCR ต่ำกว่ำ 1.0 เท่า โดยงวด 6 เดือน ปี 2567 อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว ICR และ DSCR อยู่ที่ 0.12 เท่า 0.78 เท่า และ 0.17 เท่าตามลำดับ จึงอาจมีความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ได้หากไม่สามารถจัดหาสภาพคล่องหรือแหล่งเงินในการชำระหนี้ได้
นอกจากนี้บริษัทพึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากการออกหุ้นกู้เป็นหลัก รวมถึงการที่บริษัทมีภาระหนี้ระดับสูง หากไม่สามารถออกหุ้นกู้รุ่นใหม่ได้จะส่งผลให้มีความเสี่ยงในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยหุ้นกู้รุ่นเดิม
4. ควมเสี่ยงด้านการดำรงอัตราส่วนทางการเงินของบริษัท โดยในงวด 6 เดือน ปี 2567 บริษัทมีอัตราส่วน IBD/E ที่ 3.36 เท่า ซึ่งหาก ณ สิ้นปีในแต่ละปี บริษัทไม่สามารถดำรงอัตราส่วนดังกล่าวที่ไม่เกิน 4 เท่า (ตามข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้รุ่นเดิม) ไว้ได้จะส่งผลให้บริษัทเข้าเหตุแห่งการผิดชำระหนี้หุ้นกู้รุ่นเดิม และส่งผลให้หุ้นกู้รุ่นเดิมทั้งหมดเป็นอันถึงกำหนดชำระโดยพลัน ทำให้บริษัทเข้าเหตุผิดนัดในการออกหุ้นกู้ชุดนี้ด้วย (Cross Default)
โดย ณ วันที่ 20 พ.ย. 2567 บริษัทมียอดคงค้างหุ้นกู้ตามข้อกำหนดสิทธิเดิม 4 รุ่น และยอดคงค้างหุ้นกู้ตามข้อกำหนดสิทธิใหม่ 13 รุ่น โดยทั้ง 17 รุ่นมีมูลค่ารวม 45,161.40 ล้านบาท
5. ความเสี่ยงจากการที่บริษัทไม่ได้มีการจัดทำงบกระแสเงินสดและงบการเงินรวม ทั้งนี้บริษัทจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน สำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียสาธารณะ (Non-Publicly Accountable Entities) และมิได้มีการจัดทำงบกระแสเงินสดและงบการเงินรวม ส่งผลให้ผู้ลงทุนอาจจะไม่สามารถวิเคราะห์เงินสดที่มีการใช้จ่ายภายในบริษัท การเปลี่ยนแปลงทางการเงินในแต่ละช่วงเวลาว่ามีการได้มาและใช้ไปแต่ละงวดมากน้อยเพียงใด เพื่อประเมินสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่เป็นปัจจุบันได้
ประกอบกับรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากธุรกรรมระหว่างบริษัทย่อยและบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามงบการเงินปี 2566 บริษัทย่อยและบริษัทที่เกี่ยวข้องบางรายมีผลขาดทุนสะสมและมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ซึ่งอาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะการเงินของบริษัทได้
6. ความเสี่ยงจากการที่บริษัทพึ่งพิง แหล่งเงินทุนจากการระดมทุนจากตราสารหนี้เป็นหลัก โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567 บริษัทมีอัตราส่วนตราสารหนี้ต่อหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยร้อยละ 82.40 ดังนั้นหากตลาดตราสารหนี้มีความผันผวน อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน บริษัทอาจมีผลกระทบในแง่ต้นทุนดอกเบี้ยสำหรับการออกหุ้นกู้ และหากบริษัทไม่สามารถเสนอขำยหุ้นกู้ได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ บริษัทอาจมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ได้
7. ความเสี่ยงของผู้ค้ำประกัน สำหรับหุ้นกู้ที่มีผู้ค้ำประกัน ควรพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกัน รวมถึงวงเงินค้ำประกันว่าครอบคลุมมูลค่าของหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายได้จริงเมื่อผู้ออกหุ้นกู้ผิดนัดชำระหรือไม่
โดยผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ชุดนี้ได้แก่ บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ถือหุ้นร้อยละ 99.84 มีผลประกอบการที่ไม่สม่ำเสมอ และมีสสภาพคล่องต่ำ ณ สิ้นปี 2566 DTGO มีสินทรัพย์ 23,145.95 ล้านบาท หนี้สิน 19,399.04 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 3,746.90 ล้านบาท และมีอัตตราส่วนสภาพคล่อง 0.18 เท่า ในขณะที่มีภาระผูกพันจากการค้ำประกันหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินของบริษัทในกลุ่มจำนวนมาก
โดย ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 DTGO มีวงเงินค้ำประกันรวมทั้งสิ้น 67,822.06 ล้านบาท จึงทำให้ผู้ถือหุ้นกู้มีความเสี่ยงจากการที่ผู้ค้ำประกันหุ้นกู้จะไม่สามารถชำระหนี้แทนผู้ออกหุ้นกู้ได้เต็มจำนวนหรืออาจชำระหนี้แทนได้บางส่วนหากเกิดกรณีที่หุ้นกู้ผิดนัดชำระหรือกรณีเลวร้ายสุดเสมือนกับไม่มีผู้ค้ำประกัน
8. ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 บริษัทได้เริ่มการพัฒนาโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งเป็นโครงการ Mixed-Use ขนาดใหญ่ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างนานและต้องใช้เงินลงทุนสูง บริษัทจึงจำเป็นจะต้องจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ
ดังนั้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากการจัดหาแหล่งเงินทุนให้เพียงพอในอนาคตและมีความเสี่ยงหากระยะเวลาในการพัฒนาโครงการมีความล่าช้าหรือการรับรู้รายได้ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่บริษัทวางเอาไว้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ