
ตัวเลขจ้างงานสหรัฐดีกว่าคาด หนุนเงินทุนไหลออก กดดันบาทอ่อน หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เพิ่มขึ้น 256,000 ตำแหน่งในเดือน ธ.ค. สูงกว่าคาดการณ์
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (13/01) ที่ระดับ 34.69/70 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (10/01) ที่ระดับ 34.57/58 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
โดยในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา บาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็วใกล้ระดับแนวต้านที่ 34.80 หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐ (Bureau of Labor Statistics) เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Employment Change) เพิ่มขึ้น 256,000 ตำแหน่งในเดือน ธ.ค. ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 154,000 ตำแหน่ง และหลังจากเพิ่มขึ้น 212,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ย.
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.1% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ และต่ำกว่าระดับ 4.2% ในเดือน พ.ย. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้ Dollar Index ปรับตัวสูงขึ้นใกล้แตะระดับ 110 และส่งผลให้ตลาดคาดว่าการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง ซึ่ง FED อาจจะยุติวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายในเดือนนี้
ล่าสุดข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือน มิ.ย. และจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมหลังจากนั้นตลอดทั้งปี 2025 นี้
ด้านปัจจัยภายในประเทศ ในระหว่างวัน เงินบาทยังคงเคลื่อนไหว Sideways Up หรือในทิศทางอ่อนค่า และเข้าทดสอบแนวต้านที่ระดับ 34.80 เนื่องจากระหว่างวันตลาดพันธบัตรยังคงเผชิญกับแรงขาย ราว ๆ 5,097 ล้านบาท รวมถึงตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงเกือบ 10 จุดเช่นกัน
นอกจากนี้ ในวันนี้สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Index) ประจำเดือน ธ.ค. 67 พบว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้า ความเชื่อมั่นดังกล่าว ปรับลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ที่ระดับ 78.52
โดยปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การนำเข้าส่งออกสินค้าและสถานการณ์เงินเฟ้อ ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 34.70-34.83 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.79/80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (13/01) ที่ระดับ 1.0244/46 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (10/01) ที่ระดับ 1.0302/03 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอ่อนค่าเช่นเดียวกับเงินสกุลส่วนใหญ่อื่น ๆ ในตลาดปริวรรตเงินตรา จากปัจจัยการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.0249-1.0176 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0191/92 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (13/01) ที่ระดับ 157.40/42 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (10/01) ที่ระดับ 157.90/92 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยในระหว่างวันค่าเงินเยนยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องใกล้หลุดระดับ 157 ซึ่งเป็นการสวนทางกับค่าเงินสกุลส่วนใหญ่อื่น ๆ โดยได้รับอานิสงส์จากการเป็นสกุลเงินสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวลของตลาดถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 157.96-157.03 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 157.05/06 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดสินเชื่อใหม่ของจีน (14/01), ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐ (14/01), ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษ (15/01), ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ (115/01), ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของอังกฤษ (16/01), ยอดค้าปลีกของสหรัฐ (16/01), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ (16/01),
ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือน ม.ค. (16/01), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐ (16/01), ยอดค้าปลีกของจีน (17/01), ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน (17/01), ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของจีน (17/01), ยอดค้าปลีกของอังกฤษ (17/01) และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐ (17/01)
ข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือน ธ.ค. อาทิ ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ป้องกันความเสี่ยง (Swap Point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7.20/-7.0 สตางค์ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -1.15/+0.95 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ