
วิจัยกรุงศรี ประเมินผลโครงการ Easy E-Receipt และเงินโอน 10,000 บาทกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นปัจจัยบวกระยะสั้นต่อการบริโภค คาดทั้งปีโตชะลอเหลือ 3% จากปีก่อน 4.8% มองประกาศเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก หรือ GMT อัตรา 15% หวั่นมีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนในไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายนสะท้อนแรงส่งการใช้จ่ายในประเทศมีแนวโน้มแผ่วลง ธปท. รายงานเศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายนชะลอลง โดยการบริโภคภาคเอกชนลดลง (-0.4% MOM SA) หลังจากที่เร่งไปในเดือนก่อนจากมาตรการเงินโอนภาครัฐ
โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนที่ปรับลดลงมาก เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาหดตัว (-1.8%) ตามการลดลงของการลงทุนทั้งทางด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ และด้านก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม ภาคส่งออกที่หักทองคำและปัจจัยทางฤดูกาลขยายตัว (+3.0%) จากการส่งออกที่เติบโตในหมวดยานยนต์และสินค้าเกษตรแปรรูปเป็นสำคัญ ขณะที่ภาคท่องเที่ยวแม้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน แต่รายรับรวมจากภาคท่องเที่ยวไม่สดใสส่วนหนึ่งเป็นผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียที่ค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงปรับลดลง
การใช้จ่ายในประเทศในช่วงปลายปีที่ผ่านมาแผ่วลงอย่างชัดเจนสะท้อนถึงการทยอยหมดลงของผลบวกจากมาตรการการโอนเงิน 10,000 บาทแก่กลุ่มเปราะบางราว 14 ล้านคน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2567 เป็นต้นไป
สำหรับในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ทางการออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในโครงการ Easy E-Receipt (ใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย) เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 16 มกราคม ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์
และมาตรการโอนเงิน 10,000 บาทแก่กลุ่มผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนขอรับสิทธิจากแอปพลิเคชั่นทางรัฐ (ประมาณ 4 ล้านคน) ตั้งเป้าโอนเงินให้ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกระยะสั้น ๆ ต่อการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่ยังฟื้นตัวช้า และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ในปี 2568 วิจัยกรุงศรีคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะเติบโตชะลอลงเหลือ 3% จากปีก่อนที่ขยายตัวได้ราว 4.8%
การลงทุนยังเผชิญกับความเชื่อมั่นที่ฟื้นตัวช้า และความท้าทายจาก Global Minimum Tax ที่มีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี ธปท.รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธันวาคมกลับมาปรับตัวลดลงสู่ 48.4 จาก 49.3 ในเดือนพฤศจิกายน และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 (หดตัว) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ส่วนใหญ่เป็นผลจากความเชื่อมั่นในภาคการผลิตที่ปรับลดลงและอยู่ในแดนหดตัวตั้งแต่กลางปี 2567 ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิตปรับดีขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 50 ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
จากข้อมูลความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ยังต่ำกว่าระดับ 50 เป็นเวลานาน บ่งชี้ถึงความไม่มั่นใจของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่ประสบกับปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนภาคเอกชนในปีที่ผ่านมาจึงมีภาพรวมไม่สดใส
สำหรับในปีนี้วิจัยกรุงศรีประเมินการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะกลับมาขยายตัวได้ราว 2.9% แรงหนุนจาก 1.การเร่งลงทุนของภาครัฐ สะท้อนจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปีงบฯ 2568 ขยายตัวสูงถึง 26.5% เมื่อเทียบกับปีงบฯ ก่อน ซึ่งจะช่วยเหนี่ยวนำให้การลงทุนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐปรับดีขึ้น
2.ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 มูลค่าเงินลงทุนกว่า 7.2 แสนล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และ 3.ล่าสุดข้อมูลจาก EEC เผยว่าในปีนี้จะมีนักลงทุน 12 ราย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.5 แสนล้านบาท เตรียมจะเข้ามาลงทุน โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับดาต้าเซ็นเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 2568 ทางการไทยประกาศใช้ภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax : GMT) อัตรา 15% ซึ่งจะเรียกเก็บจากนิติบุคคลข้ามชาติ (Multinational Enterprises : MNEs) ขนาดใหญ่ที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ประเด็นดังกล่าวอาจมีผลต่อการทบทวนและตัดสินใจในการลงทุนในไทย ซึ่งนับเป็นความท้าทายสำหรับประเทศที่เคยใช้นโยบายภาษีในระดับต่ำเพื่อเป็นแรงจูงใจและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ