FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนลท.3 เดือนข้างหน้าลดลง 1.07% ทรงตัว เหตุฟันด์โฟลว์ไหลออก-การเมืองไทยฉุด

FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลงเล็กน้อย 1.07% อยู่ในระดับทรงตัวเป็นเดือนที่สอง โดยภาวะเศรษฐกิจในประเทศและการลงทุนภาครัฐหนุน ขณะที่นักลงทุนติดตามความชัดเจนการเลือกตั้งและการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนมิถุนายน 2561 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (สิงหาคม 2561) ลดลงเล็กน้อยอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) โดยมีช่วงค่าดัชนี 80-120 ลดลง 1.07% อยู่ที่ระดับ 91.66 ซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยเป็นเดือนที่สอง โดยผลสำรวจระบุว่านักลงทุนเชื่อมั่นว่าการลงทุนจะได้รับผลดีจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศและการลงทุนของภาครัฐ ขณะที่นักลงทุนกังวลสถานการณ์การเมืองและความชัดเจนของงการเลือกตั้งและเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นมากที่สุด

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศและกลุ่มสถาบันภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากการสำรวจเดือนก่อนจากโซนซบเซา (Bearish) มาอยู่ที่โซนทรงตัว (Neutral) ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลต่างปรับตัวลดลง แต่ยังคงอยู่ในโซนทรงตัว (Neutral)
นายไพบูลย์ กล่าวว่า หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ พลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK) ซึ่งปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมือง

“ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนพฤษภาคมเคลื่อนไหวปรับฐานในทิศทางลดลงอยู่ในกรอบระหว่าง 1724-1791 จุด โดยดัชนีฯยังคงมีการปรับฐานจากการคาดการณ์นโยบายทางการเงินของสหรัฐ ที่ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย Bond Yield สหรัฐปรับขึ้นมาที่ 3% และแรงขายสุทธิต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนติดตาม แม้ว่านักลงทุนผ่อนคลายความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่การเจรจามีความคืบหน้า โดยสหรัฐเลื่อนการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่อจีนในช่วงนี้” นายไพบูลย์กล่าว

ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากตัวเลขไตรมาส 1/2561 จีดีพีมีการขยายตัวกว่า 4.8% และตัวเลขการลงทุนภาครัฐกลับมาเพิ่มขึ้น 4.4% ขณะที่นักลงทุนให้น้ำหนักปัจจัยสถานการณ์ทางการเมือง และความชัดเจนในการการกำหนดวันการเลือกตั้ง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยที่ทยอยตัวเพิ่มขึ้น ที่อาจส่งผลต่อการพิจารณานโยบายทางการเงินของ กนง. สำหรับปัจจัยต่างประเทศจากนโยบายทางการเงินสหรัฐ และนโยบายทางการเงินของธนาคารยุโรปที่กำลังพิจารณาการปรับลดมาตรการ QE ในช่วงปลายปีนี้


ถือเป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อการลงทุนมากที่สุด โดยมีประเด็นติดตามความชัดเจนของผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้า และนโยบายทางการเงินของสหรัฐต่อนโยบายทางการค้าและนโยบายทางการเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชีย สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ นั้น ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ การปรับตัวผันผวนของราคาน้ำมันหลังจากมีการเคลื่อนไหว 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และสถานการณ์ทางการเมืองของกลุ่มประเทศในยุโรป ที่อาจส่งผลต่อนโยบายทางการเงิน