
ธุรกิจประกันก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ ธุรกิจที่การเติบโตจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งปี 2568 นี้ มองไปข้างหน้ายังดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้า ที่อาจจะรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในด้านภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ทั้งอุทกภัย วาตภัย และอัคคีภัย
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปี 2568 ประมาณการว่า ณ สิ้นปีเบี้ยประกันภัยทั้งระบบจะอยู่ที่ 980,000 ล้านบาท เติบโต 3.9% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)

และเบี้ยน่าจะไปแตะระดับ 1,000,000 ล้านบาท ในปี 2569 โดยธุรกิจประกันภัยสุขภาพโดดเด่นที่สุด น่าจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2568 จากสิ้นปี 2567 ที่เบื้องต้นคาดว่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพอยู่ที่ราว 100,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ภาคธุรกิจประกันภัยยังคงต้องติดตามปัจจัยท้าทายและปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลต่อระดับอัตราดอกเบี้ย (Yield Curve) ที่ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีทิศทางที่ปรับสูงขึ้น แต่ยังต้องมีความระมัดระวังในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท
รวมทั้งสงครามการค้า (Trade War) และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและอำนาจซื้อของประชาชน ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ประชาชนเริ่มชะลอการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองทั้งในและต่างประเทศ ที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน โดยบริษัทประกันภัยต้องสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางกลยุทธ์การดำเนินงานให้ไปตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
“คปภ. และบริษัทประกันภัย มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกับปัจจัยต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 17 (TFRS17) ที่เริ่มใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นงบการเงินที่แท้จริงว่า
บริษัทประกันภัยมีกำไรในแต่ละปีมากน้อยเพียงใด มีการกระจายรายได้ และค่าใช้จ่ายออกไปอย่างไร จะจัดกลุ่มประเภทผลิตภัณฑ์ เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นภาพงบการเงินได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความมั่นคงกับงบการเงินที่ได้มาตรฐานต้องดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกัน”

นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจประกันชีวิตในปี 2568 คงจะเติบโตสอดคล้องการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ถ้าเศรษฐกิจดี ธุรกิจประกันชีวิตก็จะดีตาม แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี แน่นอนว่าคนไม่มีเงิน ก็อาจจะไม่ได้มองเรื่องประกันว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัญหาปากท้องสำคัญกว่า เพราะฉะนั้นก็จะมีผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิต
“ต้องติดตามการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่าจะทำได้ดีแค่ไหน โดยมองกลุ่มคนระดับบนคงไม่มีปัญหาในการทำประกัน แต่ความท้าทายอยู่กับกลุ่มคนที่ต้องการประกันไปช่วยบริหารความเสี่ยงมากที่สุด คือ คนที่มีรายได้ปานกลางและคนที่มีรายได้น้อย ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ฐานะการเงินกลุ่มนี้ก็จะไม่ดีด้วย”
นอกจากนั้นการเติบโตของธุรกิจยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น อัตราดอกเบี้ย ถ้าปรับลดต่ำลงมาก ๆ ภาคธุรกิจจะกลัวในการขายประกันออมทรัพย์ เพราะว่ามีภาระผูกพันกับลูกค้าระยะยาว แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยคงที่ก็ขายประกันออมทรัพย์ได้
เพราะต้องยอมรับว่าคนไทยจำนวนหนึ่งยังมีความต้องการอยู่ นอกจากฝากเงินกับธนาคาร ลงทุนในหุ้น-กองทุน ฉะนั้นโอกาสในการออมผ่านประกันยังมี และเรื่องของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ก็จะมีเรื่องประกันบำนาญที่หลายคนให้ความสนใจมากขึ้นด้วย
“เราพ้นช่วงวิกฤตโควิดมาแล้ว ปัจจุบันอยู่ในยุคที่มองหาการเติบโตได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าประกันชีวิตในแง่ของเบี้ยรับรวม แม้จะมีเบี้ยใหม่ที่เข้ามาในแต่ละปี แต่ก็จะมีเบี้ยประกันปีต่ออายุที่ครบกำหนดในแต่ละปีด้วย ซึ่งส่วนนี้เบี้ยก็จะหดตัวลงไปมาก”
นางนุสรากล่าวอีกว่า ส่วนทิศทางการเติบโตของประกันสุขภาพ ต้องยอมรับว่าตั้งแต่วิกฤตโควิด คนไทยตระหนักเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น และเด็กรุ่นใหม่ก็เริ่มตระหนัก เพราะจะเห็นว่าคนอายุน้อยเจ็บป่วยมากขึ้น โดยเฉพาะการเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งมีค่ารักษาพยาบาลที่สูง จึงเห็นประโยชน์ของการทำประกันสุขภาพชัดเจน ไม่ต้องผลักดันให้คนเข้ามาซื้อ
แต่ความท้าทายจะอยู่ที่ว่าบริษัทประกันจะบริหารจัดการต้นทุนประกันสุขภาพได้อย่างไรโดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาล เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล (Medical Inflation) ขยับขึ้นไปสูงระดับ 7-12% ถ้าไม่ดำเนินการและปล่อยให้ขึ้นไปอย่างนี้เรื่อย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นว่าบริษัทประกันขาดทุน เหมือนประกันสุขภาพเด็ก ที่อาจจะไม่รับทำประกัน แต่ถ้ารับทำประกันก็ต้องขึ้นเบี้ย คำถามคือแล้วประชาชนจะจ่ายไหวหรือไม่
เพราะฉะนั้น ความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ โรงพยาบาล ที่ทำให้ธุรกิจประกันสุขภาพอยู่ได้อย่างยั่งยืนเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ช่วงที่ผ่านมาเห็นข่าวไปบ้างแล้วเรื่องที่จะมีเงื่อนไขให้ลูกค้ามีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) ประกันสุขภาพที่เป็น New Health Standard ก็มีเงื่อนไขนี้อยู่แล้วว่าถ้าหากมีการเคลมสูงมาก ๆ บริษัทประกันต่อสัญญาก็จริง แต่บริษัทมีสิทธิใช้เงื่อนไข Copayment ได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาบริษัทประกันไม่ได้ดำเนินการ
ทั้งนี้ เงื่อนไขนี้จะมีผลกับคนที่ซื้อใหม่ และกลุ่มคนที่จะมีผลกระทบสูง ส่วนใหญ่จะมาจากการเข้ารักษาโรคเจ็บป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) เช่น เป็นหวัด, ท้องเสีย ซึ่งอาจไม่ได้มีความจำเป็นมากที่ต้องนอนโรงพยาบาล ทั้งนี้ เน้นย้ำว่าเงื่อนไข Copayment จะไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีแรก
แต่จะเกิดเฉพาะกับคนที่มีการเคลมสูงและเข้าเงื่อนไข เช่น เคลม Simple Diseases 3 ครั้งขึ้นไปเกิน 200% หรือเคลมเกิน 400% ยกเว้นเคลมผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง จะให้ลูกค้าต้อง Copayment สัดส่วน 30%

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.3-3.3% และประเมินธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งอุตสาหกรรม จะมีเบี้ยรับรวมที่ 291,240-294,100 ล้านบาท เติบโต 1.5-2.5% YOY เชื่อว่ายอดขายรถใหม่จะฟื้นตัวจากเศรษฐกิจที่ได้รับการกระตุ้นและมาตรการสินเชื่อที่เริ่มผ่อนคลาย และเบี้ยประกันภัยอาจปรับตัวสูงขึ้น จากลอสเรโชที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันจากที่ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการประกันเสี่ยงภัยธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ปี 2568 ประกันอัคคีภัยจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ขณะที่ประกันภัยการเดินทางยังคงเติบโต ด้วยปัจจัยบวกจากการแข็งค่าของเงินบาทและการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล
“อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ยังมีความท้าทายอยู่ ทั้งภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี สงครามการค้าและการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ การจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบกับองค์กรทุกระดับ การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม
ทำให้ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ และแนวโน้มการซื้อความคุ้มครองที่น้อยลงของผู้บริโภคสำหรับการประกันภัยรถยนต์ โดยเปลี่ยนจากกรมธรรม์ประเภท 1 เป็น 2+ 3+ และ 3 อาจส่งผลให้เบี้ยประกันภัยเฉลี่ยลดลง” นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยกล่าว