
สัมภาษณ์
ผ่านมา 3 ปีแล้ว นับจากเริ่มปรับโครงสร้างธุรกิจจากธนาคารไทยพาณิชย์มาเป็นบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX ที่ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก วางเป้าหมายก้าวไปสู่การเป็นกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำของภูมิภาค (Tech Company) และเป้าหมายการเป็นองค์กรที่ได้รับความชื่นชม (The Most Admired) ภายในปี 2570
หนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญ “ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCBX และในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด (DataX) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนล่าสุดว่า หลังจากดำเนินการมาแล้ว 3 ปี (ตั้งแต่ปี 2564) ตอนนี้หรือปี 2568 เป็นต้นไป ถึงจุดที่จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ โดยปีนี้ธุรกิจใน Gen 2 และ Gen 3 จะเริ่มมีกำไร
โครงสร้างธุรกิจใหม่เริ่มทำกำไร
“ปีนี้จะเป็นปีที่คาดหวังให้ธุรกิจใน Gen 2 และ 3 สามารถ Cover การลงทุนก่อนหน้านี้ และปีถัดไปจะมีกำไรและเป็นบวกได้ โดยจะอยู่ในจุดที่เรียกว่า ‘Neutral’ เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มธุรกิจ Gen 2 มีกำไรแล้ว”
“ดร.อารักษ์” กล่าวว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยขยายตัวบาง ๆ มาหลายปี โอกาสที่ธนาคารจะเติบโตเหมือนในอดีตค่อนข้างยาก เพราะธนาคารเป็นตัวสะท้อนเศรษฐกิจ รวมถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ก็สามารถเข้ามากระทบภาพรวมธุรกิจธนาคารได้
ดังนั้น หากต้องการให้ธนาคารเติบโตยั่งยืน ไม่ควรเปิดรับความเสี่ยงมากเกินไป จึงเป็นที่มาของโครงสร้าง SCBX ที่ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่ม Gen 1 คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก (Core Business), กลุ่ม Gen 2 คือ CardX, AutoX, Monix, Abacus Digital และ ALPHAX เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ (New Growth Engine) ซึ่งเริ่มมีกำไรแล้ว
และกลุ่ม Gen 3 คือ InnovestX, SCB10X และ TokenX กลุ่มนี้จะเป็นอนาคตในอีก 3-5 ปีต่อจากนี้ แม้ว่าจะมีความเสี่ยง แต่โลกอาจจะหมุนไป เช่น คริปโตเคอร์เรนซี หรือการเจาะตลาดต่างประเทศ อาทิ การเข้าซื้อธุรกิจ Home Credit หรือการจับมือพันธมิตรในเรื่องของ Virtual Bank เป็นต้น และภายใต้ธุรกิจ 3 Gen ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่หว่านออกมา จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดูแลทั้ง 3 Gen ได้แก่ TECHX, PointX และ DataX
“เดิมธนาคารมีกำไร 100 บาท แต่วันนี้จัดโครงสร้างใหม่ กำไรเพิ่มเป็น 110 บาท เพราะเราดึงต้นทุนและธุรกิจที่ติดลบออกมาอยู่ใน SCBX จึงจำเป็นต้องมีธุรกิจ Gen 2 และ 3 เช่น ธุรกิจ Title Loan หากทำในแบงก์ไม่เกิดแน่ แต่ปัจจุบันผลประกอบการดีมาก เช่น Monix ผลประกอบการดีมาก ๆ และในปี 2568-2569 น่าจะเห็นธุรกิจ Gen 2 และ 3 สามารถ Cover ค่าใช้จ่ายและกลับมาเป็นกำไรได้ ซึ่งโครงสร้างแบบนี้ ทำให้เรากล้าทำของใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ทุกองค์กรต้องทำแบบนี้”
DataX คือ Data Center
ดร.อารักษ์กล่าวอีกว่า ขณะที่หลังจากมีการจัดโครงสร้างธุรกิจกลุ่มการเงิน SCBX ทำให้ข้อมูลกระจัดกระจายและมีหลายนิติบุคคล ทำให้การใช้งานยากและภายใต้กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) หากไม่มีการยินยอม จะห้ามใช้ข้อมูลข้ามกัน ซึ่งตอนนั้นไม่มีบริษัทตรงกลางมาดูแลที่ถูกกฎหมายและต้นทุนต่ำ จึงเป็นที่มาของการตั้งบริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด หรือ DataX มาทำภารกิจหน้าที่จัดโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล เปรียบเสมือนเป็น “Data Center” ของกลุ่ม
ขณะเดียวกันก็จะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากการเก็บข้อมูลมีต้นทุน สิ่งที่บริษัททำต่อ คือ การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศา วิเคราะห์การใช้ผลิตภัณฑ์และการเข้าใจลูกค้า และประกบหน้างานช่วยบริษัทอื่น ๆ และการสร้างแพลตฟอร์ม Generative AI เพื่อให้บริษัทอื่น ๆ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แบบ Enterprise Solution โดยดูทั้งเรื่องความปลอดภัย และกฎหมายต่าง ๆ และพยายามสร้างแพลตฟอร์มให้ใช้งานง่าย
เตรียมขยายธุรกิจนอกกลุ่ม
ดร.อารักษ์กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีที่ก่อตั้งบริษัทใช้เวลาไปกับการจัดโครงสร้างข้อมูลค่อนข้างมาก แต่ปีนี้บริษัทจะนำไปใช้ประโยชน์ และสร้างแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบ ขณะที่บริษัทคาดว่าภายใน 3-5 ปี จะสามารถสร้างธุรกิจนอกกลุ่มได้ เนื่องจากขณะนี้บริษัทมีแผนงานชัดเจน และเริ่มนิ่งแล้ว โดยในปี 2568 บริษัทจะมีการจัดเก็บข้อมูลภายในให้มาอยู่รวมกัน และขยายฐานข้อมูลให้มากที่สุด เพราะในอนาคตใครมีดาต้าเยอะจะเข้าใจลูกค้ามากที่สุด
แม้ว่าระยะสั้นของ DataX จะเน้นเพื่อตอบโจทย์บริษัทในเครือของกลุ่ม แต่ในระยะยาวสามารถต่อยอดและนำไปขายให้บริษัทอื่น ๆ นอกกลุ่มใช้ โดยที่บริษัทมองตัวเองเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี เป็น Tech Company เช่น การนำแพลตฟอร์มที่บริษัทพัฒนาไปให้บริษัทอื่นนอกกลุ่มใช้ที่เจอปัญหาเดียวกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้จากตรงนี้
“ในโครงสร้างธุรกิจคาดหวังว่าในระยะยาวทุกบริษัทจะดูแลตัวเองได้ ทั้งรายได้และค่าใช้จ่าย โดยเบื้องต้น DataX คือ การนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์สูงสุด แต่ในระยะยาว หากเราสามารถทำธุรกิจข้างนอกได้ ก็จะมีรายได้ ซึ่งเราน่าจะเริ่มเห็นได้ภายใน 3-5 ปีหลังจากนี้”
เจียดกำไรลงทุนเทคโนโลยี-R&D
ดร.อารักษ์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันจีดีพีประเทศไทยอยู่ที่ราว 18 ล้านล้านบาท แต่หากดูการลงทุนทางด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) มีแค่เฉลี่ย 1% ของจีดีพี เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐที่อยู่ที่ 10% หรือเกาหลีใต้ 5% ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องพัฒนาและลงทุนในเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น เพราะ R&D เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการเติบโตในอนาคต
ซึ่ง DataX ให้ความสำคัญในเรื่องของ R&D เนื่องจากบริษัทมองตัวเองว่าไม่ใช่ผู้ซื้อเทคโนโลยีมาใช้ แต่เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ แล้วต่อยอดเป็นธุรกิจได้ ซึ่ง DataX ถือเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนให้กลุ่มไปสู่การเป็น Technology Company ได้ จากเป้าหมายของกลุ่มที่ต้องการเป็น Regional Financial Technology Group
โดยมีอยู่ 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.การเป็น Regional ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย 2.Technology Group คือไม่ใช่แค่ธนาคาร และ 3.Financial Tech อย่างไรก็ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ทั้งนี้ บริษัทจะตั้งงบประมาณในการลงทุน R&D และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ราว 5% ของกำไรสุทธิ เช่น SCBX มีกำไร 4 หมื่นล้านบาท จะเป็นงบฯลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งในปีก่อน DataX ลงทุนราว 1,000 ล้านบาท โดยจะเน้นลงทุนใน A, B และ C ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยี Blockchain และ Climate Tech, Cloud เป็นต้น แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายการลงทุนที่ค่อนข้างสูง แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่จะสร้างรายได้ในอนาคต
“เราเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ R&D จะเวิร์กหรือไม่เวิร์กก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นการทยอยลงทุน และเป็นการศึกษาทดลอง เช่น ‘ไต้ฝุ่น’ (AI โมเดลภาษาขนาดใหญ่) ก็ถือว่าเป็น R&D อย่างหนึ่ง ซึ่งในระยะสั้นอาจจะเจอแรงกดดันบ้าง แต่จะมีผลดีในระยะยาว เหมือนที่เราลองผิดลองถูกหลังการปรับโครงสร้างมา 2-3 ปีแล้ว ซึ่ง Gen 2 เริ่มแข็งแรงขึ้น และ Gen 3 มีบางส่วนที่ดีแล้ว แต่เรื่องที่เรามองว่ายากที่สุด คือ คน เพราะโลกหมุนเร็วมาก เราจะสร้างเจนใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อให้มาตอบโจทย์กับสิ่งที่เปลี่ยนไปและเทคโนโลยีทันอย่างไรภายใต้วัฒนธรรมองค์กรของเรา”