
คอลัมน์ : นั่งคุยกับห้องค้า ผู้เขียน : ดร.กอบสิทธิ์ ศิลปชัย, CFA ซาร่า ผลพิบูลย์ ธนาคารกสิกรไทย
ก้าวเข้าสู่อีกหนึ่งปีใหม่ท่ามกลางความคาดหวังว่าจะเป็นปีที่ดีขึ้น หากแต่ประเด็นปัญหาและความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่โลกได้เผชิญไปในปีที่แล้ว จะยังคงตามมาหลอกหลอนกันต่อในปีนี้ ซึ่งที่ต้องจับตาเลยคือการขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ของโดนัลด์ ทรัมป์ว่านโยบายต่าง ๆ ที่ทรัมป์ได้กล่าวไว้จะทำได้จริงหรือเพียงแค่ขู่ และจะทำได้รวดเร็วเพียงใด
โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ขู่จะขึ้น 60% กับจีน และ 10-20% กับคู่ค้าอื่น ๆ ซึ่งตลาดอ่อนไหวกับประเด็นนี้อย่างมาก สะท้อนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ทะยานขึ้นแรงนับตั้งแต่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ กดดันค่าเงินสกุลอื่น ๆ โดยเฉพาะเงินหยวน รวมถึงเงินบาท ซึ่งความไม่แน่นอนว่าทรัมป์จะทำได้จริงแค่ไหน จะยังสร้างความผันผวนให้กับตลาด โดยเฉพาะในช่วง 100 วันแรกหลังทรัมป์รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมนี้
ทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางก็เป็นอีกหนึ่งความไม่แน่นอนสำคัญและจะยังสร้างความผันผวนให้กับตลาด โดยการลดดอกเบี้ยประเมินว่าจะยังคงดำเนินต่อไปในปีนี้ หากแต่คำถามสำคัญคือจะลดจริงมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเฟดที่ตลาดจับตาอย่างใกล้ชิด ซึ่งเฟดคาดว่าปีนี้จะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง
ขณะที่ตลาดปัจจุบันมองว่าอาจลดน้อยกว่านั้น อย่างไรก็ดี สุดท้ายแล้วเฟดอาจลดจริงได้มากหรือน้อยกว่านั้น ดังเช่นที่เกิดขึ้นในปี 2024 ที่ตลาดเปิดปีมาด้วยความหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยกว่า 6 ครั้ง ซึ่งขณะนั้นเฟดประเมินว่าจะลดดอกเบี้ยเพียงแค่ 3 ครั้ง ก่อนที่ตลาดทยอยปรับลดมุมมองหลังพบว่าเงินเฟ้อหนืดและเศรษฐกิจสหรัฐ แข็งแกร่งกว่าที่ประเมินไว้ โดยมีช่วงหนึ่งที่ตลาดปรับมุมมองจนถึงขนาดที่ว่าเฟดอาจลดไม่ถึง 2 ครั้งด้วยซ้ำ ซึ่งหนุนดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแรง
อย่างไรก็ดี เฟดลดดอกเบี้ยรวม 3 ครั้ง และลดครั้งแรกด้วยอัตราสูง 50bps เซอร์ไพรส์ตลาด ฉะนั้น ความไม่แน่นอนของดอกเบี้ยมีสูงและจะยังสร้างความผันผวนต่อไปในปีนี้
ปัจจัยสุดท้ายคือเศรษฐกิจจีนที่แม้ทางการจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นอย่างเต็มที่ในปีที่ผ่านมา แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่มีสัญญาณกระเตื้อง วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงยืดเยื้อ อีกทั้ง ความเชื่อมั่นชาวจีนยังอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่แนวโน้มปีนี้ก็ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก
โดยเฉพาะจากนโยบายการค้าสหรัฐ ที่จะกดดันส่งออกที่เป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญ แล้วเศรษฐกิจจีนจะโตได้แค่ไหนกัน โดยตลาดประเมินจีนจะโตเพียง 4.5% เท่านั้น ต่ำกว่าเป้าหมายของจีนที่ 5% และนับเป็นการเติบโตที่ชะลอต่อเนื่องจากที่เคยได้เห็น 7% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอก็สร้างแรงกดดันมาถึงเงินหยวนที่ล่าสุดได้อ่อนค่าทะลุระดับวัดใจที่ 7.3 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 เดือน และตลาดบางส่วนมองว่ามีโอกาสที่จะทะลุ 7.5 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐด้วยซ้ำ เนื่องจากมองว่าอาจเป็นอีกแรงพยุงเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มความได้เปรียบทางการค้า
ซึ่งแน่นอนว่าค่าเงินบาทที่มีความอ่อนไหวต่อเงินหยวนค่อนข้างมาก ก็คงได้รับแรงกดดันบางส่วนจากปัจจัยดังกล่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้
จาก 3 ปัจจัยที่ได้กล่าวถึงข้างต้น สะท้อนภาพค่าเงินบาทที่ยังคงผันผวนต่อเนื่องในปีนี้ โดยเฉพาะจากปัจจัยดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะยังแข็งค่าได้ต่อในระยะสั้น ขณะที่ในระยะยาวขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐ ที่กำหนดเรื่องดอกเบี้ยเฟด
ในทางกลับกัน ค่าเงินเอเชียมีแนวโน้มอ่อนค่า ด้วยผลจากนโยบายทรัมป์ ทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลาง รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ และทำให้ห้องค้ากสิกรไทยมองเงินบาทปีนี้จะอ่อนค่าจากปีก่อนหน้ามาอยู่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี โดยมองระหว่างปีจะเผชิญความผันผวนจากปัจจัยเชิงฤดูกาล อาทิ การจ่ายเงินปันผลในไตรมาส 2 และฤดูท่องเที่ยวในไตรมาส 4 เป็นต้น