
ดอลลาร์สหรัฐย่อตัวลงเล็กน้อย นักลงทุนรอลุ้นตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐกลางสัปดาห์นี้ ขณะที่ผู้บริโภคชาวสหรัฐยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 14 มกราคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ (14/01) ที่ระดับ 34.70/72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (13/01) ที่ระดับ 34.80/83 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก หลังจากวานนี้ (13/01) มีข่าวรายงานว่าทีมเศรษฐกิจของนายโดนัล ทรัมป์ จะใช้วิธีทยอยปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแทนการปรับขึ้นรวดเดียว โดยจากข่าวดังกล่าวจึงทำให้มีแรงเทขายทำกำไรดอลลาร์สหรัฐออกมาเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังเคลื่อนไหวแข็งค่า โดยเมื่อวานนี้ (13/01) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยผลสำรวจในเดือน ธ.ค. ระบุว่าผู้บริโภคชาวสหรัฐยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% โดยผู้บริโภคชาวสหรัฐคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับช่วง 1 ปี, 3 ปี และ 5 ปี อยู่ที่ระดับ 3%, 3% และ 2.7% ตามลำดับ จากระดับ 3%, 2.6% และ 2.9% ในเดือน พ.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนพากันเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้เป็นเดือน ก.ย. จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน ก.ค. และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปี 2568 หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค. และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวในการประชุมที่เหลือจนสิ้นปี 2568
โดยในสัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือน ธ.ค. ที่จะมีการเผยแพร่ในวันพุธนี้ (15/01) ซึ่งผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือน ธ.ค. จากระดับ 2.7% ในเดือน พ.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือน ธ.ค. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน พ.ย.
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ไม่เปลี่นแปลงจากเดือน พ.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือน ธ.ค. จากระดับ 0.3% ในเดือน พ.ย.
ด้านปัจจัยภายในประเทศ เมื่อวานนี้ (13/01) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ออกมากล่าวเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 จะเติบโตได้อย่างน้อย 3% แต่รัฐบาลไม่ได้วางโจทย์ไว้แค่ระดับดังกล่าว เพราะต้องการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจก้าวหน้า ดังนั้น หากสามารถผลักดันไปให้สุดได้มากเท่าไหร่ก็จะเร่งดำเนินการ เนื่องจากมองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยแก้ปัญหาในหลาย ๆ จุดได้ โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวที่อยู่ในระดับสูง อาทิ หนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน เป็นต้น
นอกจากนี้ ในวันนี้ (14/01) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือน ธ.ค. 67 อยู่ที่ 57.9 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น และการท่องเที่ยวในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 51.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 55.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 67.0 ซึ่งดัชนีทุกตัวปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เช่นเดียวกัน โดยในวันนี้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอยู่ในกรอบระหว่าง 34.60-34.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.71/73 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวเปิดตลาดเช้านี้ (14/01) ที่ระดับ 1.0251/52 สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (13/01) ที่ระดับ 1.0198/99 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยเมื่อวานนี้ (13/01) ฟิลิป เลน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวในบทสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ออสเตรียว่า ECB พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในปีนี้ แต่ต้องค้นหาทางสายกลางที่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือทำให้การควบคุมเงินเฟ้อต้องล่าช้าออกไป
อีกทั้งยังชี้ว่าเงื่อนไขสำคัญในการควบคุมการขยายตัวของราคาสินค้าคือ การที่เงินเฟ้อในภาคบริการต้องลดลง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังคงทรงตัวอยู่ที่ราว 4% ตลอดปี 2567
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของค่าจ้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดแรงกดดันด้านราคา คาดว่าจะลดลง “อย่างมีนัยสำคัญ” ในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้เงินเฟ้อของยูโรโซนปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.4% โดยค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0237-1.0277 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0257/59 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวเปิดตลาดเช้านี้ (14/01) ที่ระดับ 157.47/50 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (13/01) ที่ระดับ 157.01/06 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (14/01) ว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือน พ.ย. 2567 พุ่งขึ้น 54.5% จากปีก่อนหน้า แตะระดับ 3.35 ล้านล้านเยน (2.13 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) นับเป็นสถิติสูงสุดในรอบเดือน พ.ย. โดยมีปัจจัยสำคัญจากการค้าสินค้าที่กลับมาเกินดุลอีกครั้ง
ในด้านการค้าสินค้า ญี่ปุ่นกลับมาเกินดุล 9.79 หมื่นล้านเยน พลิกจากที่เคยขาดดุล 6.833 แสนล้านเยนในปีก่อน โดยการส่งออกเติบโต 2.8% แตะระดับ 8.91 ล้านล้านเยน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความต้องการอุปกรณ์ผลิตชิปและกลุ่มโลหะที่ไม่มีส่วนผสมของเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน การนำเข้าหดตัวลง 5.7% เหลือ 8.81 ล้านล้านเยน เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและถ่านหินลดลงตามทิศทางราคาพลังงานโลก
ในส่วนของรายได้ขั้นต้น ซึ่งประกอบด้วยเงินปันผลและดอกเบี้ยจากการลงทุนในต่างประเทศ ขยายตัว 13.0% แตะ 3.44 ล้านล้านเยน โดยได้อานิสงส์จากผลตอบแทนที่สูงขึ้นของบริษัทในเครือที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคเคมีภัณฑ์และอาหาร นอกจากนี้ ในส่วนของด้านดุลบริการก็เกินดุลเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเป็น 2.386 แสนล้านเยน ทำสถิติสูงสุดในรอบเดือน พ.ย. โดยได้แรงหนุนจากดุลการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ดีขึ้นเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในด้านการเกินดุลการท่องเที่ยวก็สะท้อนว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเงินในญี่ปุ่นสูงกว่ายอดที่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นนำไปใช้จ่ายในต่างประเทศ โดยองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าญี่ปุ่นในเดือน พ.ย.เพิ่มขึ้น 30.6% เป็น 3.19 ล้านคน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเงินเยนที่อ่อนค่าลง
ในขณะเดียวกัน รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่าวันนี้ (14/01) ว่า กรรมการ BOJ จะหารือกันว่าควรจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ในการประชุมนโยบายการเงินสัปดาห์หน้า โดยจะพิจารณาจากรายงานคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อรายไตรมาส ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนอยู่ในกรอบระหว่าง 157.10-158.01 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 157.77/78 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษ (15/01), ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ (15/01), ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของอังกฤษ (16/01), ยอดค้าปลีกของสหรัฐ (16/01), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ (16/01), ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือน ม.ค. (16/01), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐ (16/01), ยอดค้าปลีกของจีน (17/01), ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน (17/01), ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของจีน (17/01), ยอดค้าปลีกของอังกฤษ (17/01) และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐ (17/01)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -6.90/-6.60 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -1.70/+0.45 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ