
ภาคธุรกิจเกาะติดนโยบายอดีตนายกฯทักษิณ ฟื้นเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย แนะ ตลท.-ก.ล.ต. ต้องปัดกวาดบ้านให้สะอาด เร่งออกกฎหมายเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.จัดการปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ แผน 3 ประสานฟื้นตลาดทุน “รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจ-ตลท.สร้างเชื่อมั่นและคลังหาเงินใหม่เติม” รมว.คลังศึกษาปลุกชีพ LTF พร้อมแผนคลอดกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ ก.ย. 68 อดีตนายกฯชี้โจทย์เศรษฐกิจปัจจุบันยากกว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เพราะฐานรากพัง เชื่อปลายปีเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ฝากการบ้าน BOI สร้างสมดุลอุตฯรถสันดาป-EV รักษาระบบนิเวศยานยนต์ไทยไม่ให้พัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่ตลาดทุนจับตาดูการปาฐกถาพิเศษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในหัวข้อ Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ว่าจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นตลาดหุ้นกลับมาได้หรือไม่ ซึ่งพบว่าตลาดหุ้นในวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นยังคงติดลบต่อเนื่องปิดตลาดอยู่ที่ 1,340.25 จุด ลบ 14.09 จุด
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดประเด็นว่า ก่อนที่จะมาพูดได้มีการพูดคุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาเศรษฐกิจ จึงไม่มีอะไรที่จะเซอร์ไพรส์ ยืนยันว่าประเทศไทยยังมีอนาคตอีกมาก เพียงแต่ขาดการบริหารที่ถูกต้อง โดยตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีอยู่ 3 คำ คือ Trust, Confidence และ Sentiment ซึ่งทั้ง 3 ส่วนในวันนี้ยังไม่ค่อยดี ต้องนำกลับคืนมาให้ได้
และจากที่ได้รับฟังปัญหาจากทั้งในฝั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งต้องมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาการปรับตัวทั้ง ตลท. และ ก.ล.ต.ค่อนข้างช้า จึงมองว่าหลังจากนี้ต้องรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งบางสิ่งต้องออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ก็ต้องออก ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เตรียมไว้หลายเรื่องที่ต้องปรับปรุง ได้แก่
จี้มอนิเตอร์ CG บจ.
1.Corporate Governance เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นประจำ เป็นเรื่องความโปร่งใสของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีเหตุเกิดขึ้นตลอด แต่แก้ปัญหาได้ช้า และอธิบายช้า ซึ่งบริษัทที่เข้าตลาดหุ้นแล้ว ต้องมีการมอนิเตอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจสุขภาพของบริษัทตลอดเวลา
“อยากฝากตลาดหลักทรัพย์ฯติดตามพฤติกรรมของฝ่ายบริหารของทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ใช้เงินผิดประเภท ทำบัญชีถูกต้อง มีระบบตรวจสอบที่ถูกต้อง มีการบริหารที่ถูกต้อง และต้องมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดปัญหาและกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ”
2.High Frequency Trading (HFT) คือการให้โรบอตเทรดเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องนี้ไม่มีใครได้ประโยชน์ และยังเกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบระหว่างกัน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯในฐานะผู้ดูแลจะต้องชั่งน้ำหนักและต้องทำให้มีความเท่าเทียมกัน
ออก กม.เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.
3.หน่วยงานกำกับแก้ปัญหาล่าช้า เมื่อมีการกระทำผิดที่เกิดขึ้น ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น กระทรวงการคลังกำลังเตรียมพร้อมเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. ให้เหมือนสากล เพื่อให้สามารถจัดการได้ทันทีไม่ต้องรอหน่วยงาน อัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยรัฐบาลตระหนักและกำลังดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
4.การเพิ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจในตลาดส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนแบบดั้งเดิม ไม่ค่อยมีบริษัทใหม่ ๆ เข้ามาจดทะเบียนซื้อขาย ปัจจุบันรัฐบาลให้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดึงบริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ล่าสุด ครม.ก็เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5 แสนล้านจะผลักให้นำเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย ถือเป็นการเพิ่มซัพพลาย
5.บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่มี P/E ต่ำ และมีราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) จึงอยากแนะนำให้บริษัทนั้น ๆ ทำ Treasury Stock (ซื้อหุ้นคืน) และอยากให้ตลาดทุนใช้ระบบแบบญี่ปุ่น คือมีมาตรการให้ทำแพลนที่จะทำให้ราคาหุ้นกลับมาใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชี
คลังศึกษาฟื้น LTF อีกรอบ
อดีตนายกฯทักษิณกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดทุน โดย ตลท.และ ก.ล.ต.ต้องทำบ้านให้สะอาด คุมเกมให้กระชับ กติกาต้องชัดเจน และอย่าเป็นการออกกติกาลงโทษคนทำดี
ตอนนี้รัฐบาลทำหน้าที่พัฒนาระบบเศรษฐกิจ ตลาดหลักทรัพย์ฯก็ต้องสร้าง Trust สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ขณะที่กระทรวงการคลังก็ต้องหาเงินใหม่เพื่อให้เข้ามาในตลาดหุ้น อย่างกรณีกองทุน LTF ที่รัฐบาลก่อนยกเลิกไป หลายคนเรียกร้องควรนำกลับมาใหม่หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าสนใจ แต่ก็ต้องให้ รมว.คลังศึกษา และช่วยคิดว่าควรจะนำกลับมาหรือไม่
“LTF บางคนบอกว่า พอหมดอายุก็รีไซเคิล แต่ถ้าไม่รีไซเคิล เงินก็ไหลออก คืออยากเห็นเม็ดเงินอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ กับในระบบเศรษฐกิจให้มาก ๆ ฉะนั้น วันนี้ต้องเลี้ยงเม็ดเงินตัวนี้ให้ได้ อยากทำให้เม็ดเงินตรงนี้อยู่ในระบบให้ได้”
นอกจากนี้ก็มีกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์ ที่ รมว.คลังกำลังดำเนินการ ซึ่งจะทำให้คนไทยได้ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เรื่องนี้เกิดแน่ในช่วงกันยายน ปี 2568
Virtual Bank 3 รายน้อยไป
นายทักษิณกล่าวถึงกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน รวมถึงเรื่อง Virtual Bank ที่พูดกันมา แต่ยังไม่ออกมาสักที ซึ่งได้ยินว่าจะมี 3 ไลเซนส์ ซึ่งตนมองว่าน้อยเกินไป
ลดค่าไฟ-ดึงการลงทุน
นายทักษิณกล่าวว่า การส่งเสริมการลงทุนต่างชาติ รัฐบาลจะมีการส่งเสริมให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การลงทุน “ดาต้าเซ็นเตอร์” แต่จะต้องดึงเอไอฮับให้มาอยู่ที่ไทยให้ได้ เรื่องนี้จะเชื่อมโยงมาถึงค่าไฟ เพราะก่อนหน้านี้ตนพูดถึงเรื่องลดค่าไฟ 3.70 บาทต่อหน่วย ซึ่งได้รับเสียงตอบรับดี แต่ไปตีความจนหุ้นโรงไฟฟ้าตก ซึ่งคิดว่าไม่กระทบเท่าไหร่ แต่จะเป็นบวกกับประชาชน
“มองดูแล้วเรื่องลดค่าไฟมีสูง เพราะการที่ต่างชาติจะมาลงทุนก็จะมองเรื่องค่าไฟก่อน ก็จะเป็นแรงจูงใจเรื่องการลงทุน ฉะนั้นประเทศไทยก็ต้องรีบทำโดยไม่ช้า”
ยากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง
นายทักษิณกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยว่า สถานการณ์ตอนนี้ยากกว่า “ต้มยำกุ้ง” เพราะปัจจุบันฐานรากของประเทศพัง ซึ่งหมายถึงประชาชนทั่วไปจำนวนมากมีปัญหา รวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งต่างจากตอนต้มยำกุ้งซึ่งยอดพัง
ปัจจุบันสภาพคล่องเหือดแห้ง โดยเฉพาะคนชนบทไม่มีเงินใช้ ต้องหาวิธีทางแก้ต้องจูงใจให้บริษัทในกรุงเทพฯ ไปตั้งสาขาในต่างจังหวัด โดยอาจจะมีมาตรการทางภาษีจูงใจ รวมถึงจะเป็นไปได้ไหมที่จะให้สนามบินในต่างจังหวัด เป็นฮับของแต่ละสายการบินโลว์คอสต์เพื่อไปเพิ่มเศรษฐกิจต่างจังหวัด นอกจากโครงการดิจิทัลวอลเลต
อย่างไรก็ดี นายทักษิณระบุอีกว่า ตนมั่นใจว่าหากเราทำต่อเนื่อง มีการดึงลงทุนต่างประเทศต่อเนื่อง จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาโต ซึ่งหวังว่าปี’68 นี้ต้องทำให้ได้ 4% และปี’69 ต้องทำให้ได้ 5% เพราะไม่มีอะไรเกินความพยายาม ฉะนั้นเราต้องช่วยกันทำและสนับสนุนให้รัฐบาลทำงานให้ประเทศ
โดยเชื่อว่าหลังจากตนได้เดินทางไปต่างประเทศก็จะเห็นเงินลงทุนเข้ามา หลายคนต้องการพบเพราะอยากนำเงินเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะเอไอฮับ ซึ่งตนเชื่อว่ารัฐบาลทำได้เพราะสิ่งที่พูดไม่เกินจริง
“เชื่อว่าปลายปีนี้จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ปีหน้าเริ่มเก็บเกี่ยวผลจากมาตรการต่าง ๆ และปี 2570 ก็คิดว่าจะกลับมาเติบโตได้ดี”
สร้างสมดุลอุตฯรถสันดาป-EV
นายทักษิณกล่าวว่า ระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนไปด้วยกัน ฉะนั้นเราต้องทำระบบเศรษฐกิจแข็งแรงให้ได้ ปัญหาแรกที่เป็นห่วงคือรถ EV จีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย กับระบบนิเวศอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปของไทย เราต้องสร้างสมดุลให้ได้
เรื่องนี้ต้องฝาก BOI ว่าจะดำเนินการอย่างไร ไม่เช่นนั้นระบบนิเวศที่ประเทศไทยสร้างเรื่องรถยนต์ไว้จะพังหมด ต้องสร้างสมดุลตรงนี้ให้ได้เพื่อให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยยังอยู่ ฉะนั้นวันนี้ทุกคนต้องช่วยกัน โดยรัฐบาลจะต้องเร่งเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
รับมือ “สงครามส่งออก”
เรื่องที่สอง ต้องระวังคือ สงครามการส่งออก ต้องหาตลาดใหม่เพิ่ม ไปพร้อมกับปรับปรุงสินค้าของไทยและอุตสาหกรรมเกษตร ส่วนการนำเข้าสินค้าต้องคุมเข้มเรื่องสินค้าไร้คุณภาพ ไม่เช่นนั้นจะเข้ามาฆ่า SMEs ไทย
“วันนี้เราต้องสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมยา หรือเวชภัณฑ์ต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมฟาร์มาซี ไปพร้อมกับการหาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมใหม่ ๆ”
นายทักษิณกล่าวอีกว่า วันนี้สินค้าจีนอยากเข้ามาไทยเพื่อไปขายตลาดอื่น ๆ ได้ ดังนั้น BOI ต้องเน้นลงรายละเอียดว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อรักษาอุตสาหกรรมที่มีอยู่ได้
ถมทะเล-เปิดลงทุน 99 ปี
นอกจากนี้ อดีตนายกฯกล่าวถึงการลงทุนขนาดใหญ่ที่อยากทำ คือการถมทะเลป้องกันน้ำท่วม เพราะ กทม.โอกาสน้ำท่วมนั้นสูงมากเพราะโลกร้อน ถ้าวันนี้ถมทะเลเป็นเขื่อน ไม่ให้น้ำเข้าก็จะช่วยได้เยอะ แต่รัฐบาลลงทุนเองคงไม่ไหว ต้องให้เอกชนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนถมทะเล และแบ่งจัดการผลประโยชน์ โดยให้กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ให้เช่า 99 ปี ซึ่งหลัง ๆ ที่ตนพูดเรื่องนี้ก็มีคนสนใจ พร้อมยกตัวอย่างโครงการดูไบ สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะเกิดเพื่อสร้างบรรยากาศของการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มากขึ้น และการถมทะเลก็จะขยายที่ดินได้มากขึ้น
รวมถึงตนได้ขอให้กระทรวงคมนาคม ทำเรื่องการขุดลอกคลอง จนถึงการขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้นำดินไปใช้ประโยชน์ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการถมทะเล ก็อาจจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ แต่ก็ต้องใช้เวลาเพราะต้องแก้กฎหมาย
ตลาดทุนมองเรียกเชื่อมั่นไม่มาก
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า การปาฐกถาของอดีตนายกฯทักษิณ มองว่าอาจจะเรียกความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยได้ แต่ไม่มากนัก เนื่องจากประเด็นหลายอย่างต้องรอเวลา และคุณทักษิณไม่ได้เน้นประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้ เช่น พูดเรื่องการปลุกกองทุน LTF แต่ไม่ได้เน้นว่ามาแน่นอน ความเชื่อมั่นจึงไม่ได้สูงมากนัก
“ถ้าสามารถปลุกชีพ LTF ได้ อาจจะเชื่อมั่นว่ามีเงินเข้ามาเติมในตลาด และหุ้นก็จะปรับขึ้นิ
ขณะที่นโยบายระยะยาว เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยติดหล่มกับ GDP ที่โตเพียงปีละ 2-3% ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ GDP โตได้ นายทักษิณได้ยกเรื่อง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะทำให้ประเทศไทยโตและเก็บภาษีได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนว่ากฎหมายจะผลักดันออกมาได้เมื่อไหร่
นอกจากนี้ยังได้พูดเรื่องเร่งการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่จากต่างประเทศที่จะเข้าลงทุน ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาในการต่อรองเจรจา
“หลายเรื่องยังต้องใช้เวลา ซึ่งถ้าทำได้แน่นอนว่าหุ้นก็ตอบรับในทางที่ดี แต่ตอนนี้ยังไม่เห็น ตลาดหุ้นจึงยังไม่มีการตอบสนองมากนัก”
กำกับดูแลสัญญาณดีขึ้น
สำหรับเรื่องการกำกับดูแลที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯและ ก.ล.ต. ดำเนินการไล่ตามปัญหาเป็นหลัก และแก้ไขไม่ตรงจุด เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหุ้น MORE-STARK อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมองว่าตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามปรับตัวมากขึ้น รวมถึงได้ผู้จัดการตลาดคนใหม่ จะเห็นว่าสัญญาณหลายอย่างดีมากขึ้น สิ่งที่อดีตนายกฯพูดหลายอย่าง ตลาดหลักทรัพย์ฯได้เริ่มดำเนินการแล้ว และปัจจุบันมองว่า ก.ล.ต.น่าจะรับรู้แล้วว่า ปัญหาคืออะไร คงเป็นการดำเนินการที่ดักปัญหามากขึ้น
“ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาแล้ว และเข้าสู่ยุคสว่าง ได้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ ถือว่าฝากความหวังไว้ได้มาก ๆ มองว่าในแง่ของระบบ การซื้อขาย กฎเกณฑ์ ระเบียบการควบคุมปัญหา ต้องดีขึ้นแน่นอน”
ขณะที่นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า อดีตนายกฯทักษิณได้กล่าวถึงหลากหลายนโยบาย แต่ที่มองว่าปีนี้จะเห็นความชัดเจนมากขึ้น ได้แก่ เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และการปรับโครงสร้างค่าไฟ จาก 4.15 บาท เหลือ 3.70 บาท มองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ ส่วนเรื่องของความเชื่อมั่นต้องไปดูว่า ทางตลาดหลักทรัพย์ฯและ ก.ล.ต. จะรับไม้ต่ออย่างไร เนื่องจากเป็นเรื่องระยะยาว