
คอลัมน์ : สถานีลงทุน ผู้เขียน : คมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU)
บอนด์ยีลด์สหรัฐ ได้พุ่งขึ้นมาราว 1% นับตั้งแต่เฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงกลางเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะโดยปกติแล้วบอนด์ยีลด์จะปรับตัวลดลงตามทิศทางการลดดอกเบี้ยของเฟดเสมอมา โดยสาเหตุหลักที่ทำให้บอนด์ยีลด์เพิ่มขึ้นสวนทางการลดดอกเบี้ยนั้นมาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และปัจจัยทางนโยบาย
สำหรับปัจจัยทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในสหรัฐนั้น ไม่ได้มีแนวโน้มปรับลดลงตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และได้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3.2-3.3% ต่อเนื่องเป็นเวลา 8 เดือน ในขณะที่การจ้างงานในสหรัฐนั้น ยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราการว่างงานสหรัฐปรับตัวลดมาอยู่ที่ 4.1% ในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา
อัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวสูง ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง ถือเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยของเฟด และทำให้ตลาดต้องปรับคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยได้รวม 4 ครั้งในปี 2025 แต่ปัจจุบันตลาดคาดเฟดจะลดดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนปัจจัยทางนโยบาย เกิดจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยทรัมป์ประกาศในช่วงหาเสียงว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60% และสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ อีก 10% ซึ่ง TISCO ESU
ประเมินว่ากำแพงภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้เงินเฟ้อในสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 1.2% ซึ่งหากทรัมป์ดำเนินการตามที่หาเสียงจริง ๆ ก็อาจส่งผลให้เฟดนอกจากจะไม่ลดดอกเบี้ยแล้ว ยังอาจต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกเสียด้วยซ้ำ
ในกรณีฐานเราประเมินว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีกับจีนเพียงครึ่งเดียว จากที่หาเสียงไว้และกับทั่วโลกอีกเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งไปที่ระดับ 4% ปลายปีนี้ ซึ่งในกรณีนี้บอนด์ยีลด์สหรัฐ ควรจะทรงตัวอยู่ที่ราว 4.5%
ส่วนในกรณีเลวร้ายหากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าเต็มที่ตามที่หาเสียงไว้ เราประเมินว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันที่ 4.5% ไปตลอดทั้งปี ซึ่งจะทำให้บอนด์ยีลด์สหรัฐขึ้นไปเทรดที่ระดับ 5%
จะเห็นได้ว่าบอนด์ยีลด์สหรัฐมีแนวโน้มจะเทรดอยู่ในกรอบ 4.5-5% ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตซับไพรมในปี 2008 บอนด์ยีลด์ที่สูงจะเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นโลกที่เทรดที่ระดับ Valuation ที่แพงมาก โดยดัชนี S&P500 ในปัจจุบันเทรดที่ P/E สูงถึงราว 21 เท่า เทียบกับในช่วงปี 2002-2007 ที่ตลาดเทรดในกรอบ P/E เพียง 15-18 เท่า
สำหรับผลกระทบในรายอุตสาหกรรมหุ้นในกลุ่ม Tech รวมถึงกลุ่ม 7 นางฟ้าที่ซื้อขายที่ P/E สูงนั้น จะถูกกดดันมากเป็นพิเศษจากบอนด์ยีลด์ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ในขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารสหรัฐ จะได้อานิสงส์จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้นตามบอนด์ยีลด์