คุยกับ CEO ฮั่วเซ่งเฮง ปีนี้จะเป็นปีที่ดีของธุรกิจค้าทอง

Thanarat
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ

เริ่มต้นปี 2568 ราคาทองคำค่อนข้างผันผวน โดยในปีนี้นักลงทุนต่างจับตาการกลับเข้ามาสู่ตำแหน่งอีกครั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อทิศทางของตลาดเงินตลาดทุนโลก รวมถึงราคาทองคำที่ก่อนหน้านี้ทำผลงานได้ดีมาต่อเนื่อง แนวโน้มปีนี้จะเป็นอย่างไร “ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ได้มาวิเคราะห์ให้ฟังผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ดังต่อไปนี้

“ทรัมป์” ปัจจัยสำคัญกระทบทอง

“ซีอีโอฮั่วเซ่งเฮง” ชี้ว่า ทิศทางราคาทองคำในปีนี้ยังขึ้นอยู่กับการเข้ามาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยต้องติดตามนโยบายที่ประกาศออกมา และการทำงานใน 100 วันแรก ว่าตลาดจะตอบรับอย่างไร หากดูในช่วงที่หาเสียง จะเห็นได้ชัดว่าฐานเสียงของทรัมป์คือคนรวย ดังนั้น สิ่งแรกที่มุ่งในการดำเนินการ นั่นคือการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะทำให้ประเทศสหรัฐมีรายได้ที่หายไป จึงต้องมีการหารายได้ในทางอื่น ซึ่งสิ่งที่พูดกันคือเรื่องการกีดกันทางการค้า การขึ้นภาษีประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น แคนาดา เม็กซิโก รวมถึงประเทศจีนที่เป็นคู่กัดระดับโลกในปัจจุบันที่ทุกคนต่างจับตา

ทั้งนี้ นักลงทุนจะติดตามเรื่องของค่าเงินดอลลาร์และดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ว่าจะอยู่ในระดับใด จากเดิมที่เคยมองกันว่าปีนี้จะลดดอกเบี้ยหลายครั้ง ล่าสุดอาจจะเหลือเพียง 1-2 ครั้ง หรือไม่ปรับลดเลย

“เนื่องจากทรัมป์ขู่เรื่องการไม่ต้อนรับคนทำงานต่างประเทศที่เดินทางข้ามชายแดนมา ดังนั้น ตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐอาจจะดูดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจจะมีการจ้างงานมากขึ้น แต่ก็อาจจะทำให้ต้นทุนแพงขึ้น และอาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐที่จะอยู่ในระดับสูง ซึ่งตรงนี้จะเป็นปัจจัยบวกสำหรับราคาทองคำในระยะถัดไป”

ทรัมป์ฉุดราคาทองช่วงแรก

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นคาดการณ์ว่าการเข้ามาของทรัมป์ในช่วงแรกจะเป็นลบกับราคาทองคำ แต่สิ่งที่ยังต้องดูต่อคือหนี้สาธารณะของสหรัฐที่ยังสูง และหากไปทำสงครามการค้ากับประเทศอื่นก็จะต้องมีการสู้กลับ รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรอย่างกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ที่เริ่มมีประเทศสมาชิกที่เพิ่มขึ้น ที่จะลดบทบาทของค่าเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ การซื้อทองคำที่มากขึ้นของธนาคารกลางต่าง ๆ จะทำให้ราคาทองยืนอยู่ในระดับสูงได้พอสมควร

“เรามองว่าการที่ทรัมป์เข้ามาเบื้องต้น กับเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีอยู่ในปัจจุบัน จะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าในช่วงแรกจะกดดันทองคำ”

ADVERTISMENT

เชื่อเป็นปีที่ดีของธุรกิจค้าทอง

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนจากสไตส์การบริหารของทรัมป์เป็นสิ่งที่ทุกคนจับตาดู ซึ่งจากความไม่แน่นอน ส่วนใหญ่ทองมักจะได้อานิสงส์ที่ดี อย่างปีนี้ แม้มีการมองว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ช่วงตรุษจีนไม่ว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร คนก็ซื้อทองอยู่ดี เพราะเป็นเรื่องของวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม การแกว่งของราคา หรือการทำให้ราคามีความเคลื่อนไหว นักลงทุนจะชอบ ดังนั้น สำหรับทองคำมองว่าเป็นปีที่ดีสำหรับธุรกิจ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ฮั่วเซ่งเฮงมียอดขายประมาณ 2 ล้านล้านบาท โตขึ้นมาจากปี 2566 ที่มียอดขายประมาณ 7 แสนล้านบาท

ลุยขยายตลาดตะวันออกกลาง

“ธนรัชต์” กล่าวอีกว่า ฮั่วเซ่งเฮงมีการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น โดยปัจจุบันมีการทำธุรกิจอยู่ในฮ่องกง จีน อินโดนีเซีย กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ล่าสุดได้ขยายฐานลูกค้าไปยังตะวันออกกลางมาได้สักพักแล้ว ซึ่งในวงการทองคำเป็นที่รู้ว่าที่ผ่านมาตะวันออกกลางมีปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน เป็นภูมิภาคที่มีเงินไหลผ่านค่อนข้างมาก

ADVERTISMENT

รวมถึงมีการสนับสนุนในเรื่องเศรษฐกิจ มีการทำธุรกิจในภูมิภาคนั้นมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นขั้วโลกที่เปลี่ยนไปในฝั่งตะวันออกกลาง จึงต้องมีการปรับตัวในเรื่องเกี่ยวกับน้ำมัน โดยจะเห็นได้ว่าธุรกิจน้ำมันเริ่มมีความท้าทายจากการใช้ไฟฟ้า ทำให้ภาพรวมตลาดโลกเปลี่ยนไป

“พอเกิดดีมานด์ในภูมิภาคนั้น เราเองที่เป็นผู้เล่นใหญ่ในภูมิภาคอื่น ซึ่งมี Know How มีอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ที่จะเข้าไปทำการค้าการขายได้ก็เข้าไปทำ เน้นเรื่องเทรดเป็นหลัก”

“ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งเป้าที่จะวัดการเติบโตเป็นตัวเลข เพราะตลาดพวกนี้ เวลาทำข้ามประเทศก็ต้องขึ้นกับเหตุการณ์ของแต่ละภูมิภาคด้วย ว่ามีความต้องการอย่างไร ซึ่งจริง ๆ เป็นการเปิดออปชั่นของเรา และการซื้อขายระหว่างประเทศก็อาจจะมีส่วนต่างมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ก็จะมาช่วยให้เรามีทางเลือกในการเติบโตได้มากขึ้น”

ลุ้นทอง 3,000 ดอลล์ครึ่งปีหลัง

“ธนรัชต์” กล่าวว่า ฮั่วเซ่งเฮงให้กรอบราคาทองคำ Spot เฉลี่ยทั้งปีนี้ไว้ที่ 2,500-3,000 ดอลลาร์ ส่วนกรอบราคาทองคำในประเทศมองว่า แนวรับจะอยู่ที่ 42,500 บาท ส่วนแนวต้านขึ้นอยู่กับค่าเงินบาท ว่าจะอยู่ที่ระดับใด หากอยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์ แนวต้านจะอยู่ที่ประมาณ 47,000 บาท หากเกิน 35 บาท/ดอลลาร์ แนวต้านจะอยู่ที่ 48,000 บาทได้

“ทิศทางเงินบาทก็เป็นปัจจัยสำคัญ หากดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ค่าเงินบาทก็อ่อนลง แต่เศรษฐกิจบ้านเราตรงกันข้ามกับสหรัฐ ตัวเลข GDP ที่คาดกันไม่ได้สวยงามมาก อยู่ที่ 2.9% และมีแนวโน้มว่าจะลดลง จึงขึ้นกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วย ต้องดูว่าในเดือน ก.พ.นี้ หากเริ่มลดดอกเบี้ย ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง จะเป็นปัจจัยบวกกับราคาทองคำในประเทศ”

ดังนั้น สำหรับทองคำในประเทศปีนี้ ประเมินว่านักลงทุนจะทยอยเข้าซื้อ จากราคาทองคำที่ทยอยปรับย่อลง และในช่วงค่าเงินบาทอ่อนค่าจะได้อานิสงส์ หากถือต่อไปในระยะยาว เมื่อทรัมป์เริ่มมีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศต่าง ๆ เชื่อว่าถึงจุดหนึ่งค่าเงินดอลลาร์จะเริ่มอ่อนค่าลง และเป็นบวกกับราคาทองคำ

ส่วนทองคำ Spot มองว่าหากราคาย่อตัวลงที่ประมาณ 2,500 ดอลลาร์ เป็นจุดที่น่าเข้าไปซื้อสะสม เพราะมองระยะยาวทั้งปีที่เหลือ มีส่วนประกอบที่จะทำให้ราคาทองปรับขึ้นได้ไม่ยาก แต่อาจจะไม่ร้อนแรงเหมือนปีที่ผ่านมา

“ปีนี้เริ่มต้นปี ราคาทองคำอยู่ที่ประมาณ 2,600 ดอลลาร์ ซึ่งสถิติแต่ละปีมีผลตอบแทนเฉลี่ยที่มากกว่า 10% ดังนั้น 3,000 ดอลลาร์ก็มีโอกาสได้เห็น ซึ่งโอกาสจะเห็นในครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก เพราะครึ่งปีแรกคนน่าจะให้ความสำคัญกับการที่ทรัมป์เข้ามา” ซีอีโอฮั่วเซ่งเฮงกล่าว