เปิดเบื้องหลังดีลพันล้าน “ITOCHU” พันธมิตรใหม่ “ไทยวิวัฒน์”

Jiraphan

บริษัท ไทยวิวัฒน์ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TVH) บริษัทแม่ของบริษัท ไทยวิวัฒน์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TVI แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2568 ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ TVI จาก 303 ล้านบาท เป็น 378.75 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 75.75 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดภายหลังการเพิ่มทุน

โดยเสนอขายให้แก่บริษัท จีอาร์ แมนเนจเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครืออิโตชู คอร์ปอเรชั่น (ITOCHU Corporation) กลุ่มบริษัทการค้าการลงทุนของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเสนอขายที่ราคาหุ้นละ 13.66 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,034.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่าดีลนี้จะเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 14 ก.พ. หลังผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น TVI ในวันที่ 6 ก.พ. และจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

สำหรับการเพิ่มทุนจดทะเบียนและเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้วของ TVI และหลังธุรกรรมแล้วเสร็จ TVH จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมกิจการของ TVI โดยถือหุ้นประมาณ 79.15%

“จีรพันธ์ อัศวะธนกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TVH และ TVI เปิดเผยว่า บริษัทมีการทำงานร่วมกับ ITOCHU ในประเทศไทยมานานเกือบ 15 ปีแล้ว ผ่านบริษัทลูกของ ITOCHU คือบริษัท สยามคอสมอสเซอร์วิส จำกัด (SaimCosmos) ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าประกันภัย ที่ส่งงานให้ไทยวิวัฒน์ จึงมีความใกล้ชิดกัน และมีแนวทางการทำงานเหมือนกัน และ ITOCHU เชื่อมั่นในบริษัท จึงอยากจะขยายความร่วมมือในการทำธุรกิจ เพราะมองว่าไทยเป็นประเทศที่ยังน่าลงทุนสำหรับธุรกิจญี่ปุ่น โดยธุรกิจประกันภัยเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

“ปัจจุบันกลุ่มอิโตชูดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก อาทิ สิ่งทอ เครื่องจักร โลหะ แร่ธาตุ พลังงาน เคมีภัณฑ์ อาหาร สินค้าทั่วไป อสังหาริมทรัพย์ สารสนเทศ การสื่อสาร รวมไปถึงเทคโนโลยีและการเงิน ดังนั้น ค่อนข้างเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ มีการลงทุนในหลายธุรกิจในประเทศไทยด้วย จึงคิดว่าจะเปิดช่องทางให้เรามีโอกาสที่จะเข้าไปขายประกันได้มากขึ้น”

ADVERTISMENT

“จีรพันธ์” กล่าวว่า ดีลนี้เจรจากันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ซึ่งทาง ITOCHU สนใจอยากจะขอซื้อหุ้น TVI ในสัดส่วนสูงถึง 49% แต่เนื่องด้วยติดข้อกฎหมาย พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย และ TVI ไม่ได้เป็นบริษัทที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ ดังนั้น ITOCHU จะถือหุ้นได้สูงสุดไม่เกิน 25%

“ในอนาคตเขาก็คงอยากจะขยับ แต่อยู่ที่เราว่าจะยอมหรือไม่ ทั้งนี้ คงต้องดูสถานการณ์ว่าเราทำงานร่วมกันแล้วได้งานเยอะแค่ไหน การขยายตลาดเป็นอย่างไร และมีประโยชน์แค่ไหนกับการลงทุนของเขา”

ADVERTISMENT

สำหรับแผนงานในปี 2568 “จีรพันธ์” กล่าวว่า หลังจบดีลนี้จะขยายงานทันที โดยเข้าไปขายประกันให้กับพนักงาน ITOCHU ประเทศไทย ซึ่งมีพนักงาน 4-5 พันคน โดยมุ่งเน้นสินค้า Personal Line อาทิ ประกันรถยนต์, ประกันสุขภาพ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ITOCHU มีการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งก็ต้องมองว่าช่องทางที่จะเข้าไปขายประกันทำได้อย่างไรบ้าง ซึ่งคงต้องร่วมมือกันวางแผนต่อไป

สำหรับเงินที่ได้รับกว่าพันล้านบาทนั้น “จีระพันธ์” กล่าวว่า ในเบื้องต้นจะเก็บไว้เป็นเงินกองทุนสำรองของบริษัทก่อน เพื่อสร้างความมั่นคง โดยในระยะสั้นน่าจะทำให้อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (CAR Ratio) เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทสามารถรับความเสี่ยงภัยไว้เองได้มากขึ้นด้วย ส่วนระยะยาวคงต้องดูงานที่เข้ามา

สำหรับเป้าหมายในปี 2568 นี้ TVI ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมโต 10% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) แตะระดับ 8,500 ล้านบาท ยังคงมุ่งเน้นการเจาะตลาดรายย่อยเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีพาร์ตเนอร์มากขึ้น นอกจากธนาคารยูโอบี (UOB) จะมีกลุ่ม ITOCHU ที่จะช่วยขยายช่องทางที่จะเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังขายประกันผ่านโบรกเกอร์ ดีลเลอร์รถยนต์ และไฟแนนซ์ อยู่อีกค่อนข้างมาก

ปัจจุบันพอร์ตหลักของ TVI คือประกันรถยนต์ สัดส่วน 70% แต่สิ้นปีนี้มีแผนปรับพอร์ตรถยนต์เหลือ 65% เพราะว่าประกันรถยนต์คงจะไม่โต จากยอดขายรถใหม่ไม่ดี การแข่งขันสูง และรถที่ต่ออายุกรมธรรม์ เบี้ยจะลดลง เพราะทุนประกันลดลง จึงเหนื่อยถ้าจะบุกตลาดในเวลานี้ โดยคงจะเน้นการเติบโตผ่านตลาดประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ (A&H) ที่คาดว่าจะเติบโตมาก ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรของประเทศในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

“นอกจากนั้น จะขยายงานประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สินและประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัย ซึ่งเป็นพอร์ตที่เติบโตเร็วมาก โดยปีนี้ก็คาดหวังเบี้ยส่วนนี้จะโตขึ้นประมาณ 5% มีเบี้ย 300-400 ล้านบาท เพราะจากช่วงที่ผ่านมาเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ หนุนให้คนกระตือรือร้นอยากจะซื้อประกันบ้านมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเรามีการทำงานร่วมกับสถาบันการเงินอยู่หลายแห่ง”