
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ “ทรัมป์ป่วนโลก” กดดันตลาดทุนปี 2568 “ผันผวนสูง” ภาพรวมจะเป็นปีแห่งการเล่นเก็งกำไร จับตาราคาพลังงาน-สงครามการค้า มองเศรษฐกิจไทย “ภาคการผลิต” น่ากังวลที่สุด หั่น GDP ไทยปีนี้ลงเหลือโต 2.7% คาดเฟดลดดอกเบี้ยปีนี้ 2 ครั้ง พร้อมคาดการณ์กำไรตลาดหุ้นไทยปี 2567 และปี 2568 โต 10% และ 13% กลุ่ม “พลังงาน-ปิโตรเคมี” คาดพลิกกลับมามีกำไร เชื่อ SET มีโอกาสฟื้นตัว ประเมินดัชนีปรับขึ้นไปบริเวณ 1,550-1,600 จุด มีอัพไซด์ราว 7-10% พร้อมแนะลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ ใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยง
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวในงาน “2568 ปีงูเล็กต้องรอด ! เจาะลึก Playbook ลงทุนอย่างไรให้ชนะตลาด” ว่าประเมินภาพรวมการลงทุนในปี 2568 จะอยู่ในสภาพความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ เนื่องด้วยทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกที่จะปรับลดลงไม่มากเหมือนปี 2567 ที่ผ่านมา การใช้นโยบายการค้าโดยการขึ้นภาษีอาจทำให้เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในฝั่งเอเชีย รวมไปถึงค่าเงินที่จะมีความผันผวน เพราะฉะนั้นโดยรวมปีนี้มีภาพของความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอยู่
โดยเปิดต้นปีมานี้สถานการณ์ตลาดหุ้นโลกติดลบไป 2-3% แม้ยังวัดผลอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เห็นจากปี 2567 คือตลาดหุ้นส่วนใหญ่โดยเฉพาะฝั่งอเมริกา ผลตอบแทนปรับตัวขึ้นสูง ทำให้อัพไซด์ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์โดยส่วนใหญ่ในปีนี้แค่ประมาณ 10% ซึ่งมองว่าไม่มาก เป็นเหตุผลทำให้ Valuation ของตลาดไม่ถูกเหมือนช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
จึงประเมินกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปีนี้คือ การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading) เป็นรอบ ๆ บนความผันผวนของตลาด และบน Asset Class ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะต่างจากปี 2567 ที่เคยให้มุมมองว่าเป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (A Year of Value Investing)
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ InnovestX กล่าวต่อว่า ปีนี้ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือการที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้การกลับมาของนโยบาย America First ทั้งด้านการค้า การเข้าเมือง และการคลัง ซึ่งสร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังสหรัฐที่จะขาดดุลมากขึ้น
รวมถึงความปั่นป่วนทั่วโลกจะเกิดมากขึ้นด้วย อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้ตอนนี้สงครามตะวันออกกลาง กลุ่มฮามาสและอิสราเอลจะมีข้อตกลงหยุดยิงและปล่อยตัวประกัน แต่ยังต้องติดตามอยู่ รวมไปถึงความสงบในสงครามรัสเซีย-ยูเครน และประเด็นการยึดกรีนแลนด์และคลองปานามา
ถัดมาคือติดตามเรื่องพลังงาน โดยคาดการณ์สิ่งแรกที่ทรัมป์เข้ามาคือการผลักดันให้ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นผ่านการคุมซัพพลาย เห็นภาพว่าสหรัฐจะแซงก์ชั่นอิหร่านมากขึ้น เพื่อทำให้ปริมาณน้ำมันหายไปจากระบบประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และสนับสนุนให้ฝั่งสหรัฐมีการผลิตน้ำมันมากขึ้น
รวมถึงไปประเด็นสงครามการค้า แม้ปัจจุบันยังมีความไม่ชัดเจนอยู่ว่าสหรัฐจะขึ้นภาษี 10% ในทุกประเทศ และขึ้นภาษี 60% สำหรับประเทศจีนหรือไม่ เพราะล่าสุดมีการระบุว่าจะขึ้นแบบขึ้นเป็นค่อยไป ดังนั้น ยังต้องติดตามอยู่
ดร.ปิยศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนภาพเศรษฐกิจไทย ภาพที่น่ากังวลที่สุดในปัจจุบันคือ ภาคการผลิตของไทยที่ดัชนีภาคอุตสาหกรรมติดลบมาอย่างต่อเนื่อง โดยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันจากโดนจีนตีตลาด ภาพเหล่านี้ทำให้ไทยต้องเพิ่มมูลค่าการผลิต โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
ทางแก้หนึ่งในระยะสั้นรวมถึงทำให้ไทยมีแต้มต่อดีขึ้นได้คือ การลดราคาสินค้าบริการทั้งประเทศ โดยวิธีการคือ ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาในระดับหนึ่ง รวมไปถึงนโยบายการเงินต้องมีความผ่อนคลายด้วย แต่จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ครั้งล่าสุด (18 ธ.ค. 2567) ที่ส่งสัญญาณยังไม่รีบที่จะผ่อนคลาย ทำให้ความเสี่ยงต่อ Domestic Demand (การบริโภคและการลงทุนในประเทศ) มีมากขึ้น จึงได้มีการปรับประมาณเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือโต 2.7% จากเดิมมองโต 3% “ยิ่งแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยช้าเท่าไหร่ เศรษฐกิจไทยจะยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น” ดร.ปิยศักดิ์กล่าว
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน InnovestX กล่าวว่า มองสมมุติฐานหลักในปี 2568 ของดอกเบี้ยนโยบายธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งรวม 0.50% จากระดับ 4.4% มาอยู่ที่ 3.9% ในสิ้นปีนี้ ส่วนค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าลงกว่าปัจจุบันที่ 35.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าแบงก์ชาติไทยจะลดดอกเบี้ยปีนี้ 3 ครั้ง รวม 0.75% จากระดับ 2.25% มาอยู่ที่ 1.75% ในสิ้นปี ขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันดิบ Brent ในปีนี้จะอยู่ที่ 75 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงจากในปีที่แล้วที่เฉลี่ย 80 เหรียญต่อบาร์เรล
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในปีนี้คือ 1.นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของทรัมป์ กับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก 2.ความเสี่ยงเงินเฟ้อจะกระทบทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่มองยังเป็นขาลงเพียงใด 3.นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจะรับมือนโยบายการค้าสหรัฐได้แค่ไหน และจะหนุนการเติบโต GDP ได้ตามเป้าหรือไม่ 4.นโยบายการคลังและการเงินของไทยจะสร้างความเชื่อมั่นได้แค่ไหน และ 5.ผลประกอบการตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ตามคาดหรือไม่
โดยคาดการณ์กำไรตลาดหุ้นไทยปี 2567 และปี 2568 จะเติบโต 10% และ 13% โดยกลุ่มขนส่ง ค้าปลีก และอาหาร มีแรงส่งผลกำไรตลาดโตได้ต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี คาดจะพลิกกลับมามีกำไรเพิ่มขึ้นในปี 2568 แต่ความผันผวนยังสูงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มไอซีทียังเติบโตใกล้เคียงตลาด และมีอัพไซด์จากการควบคุมต้นทุนที่ดี
นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy InnovestX กล่าวว่า การจัดสรรเงินลงทุนปี 2568 ยังคงแนะนำลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยมีการใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยง สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงอยู่เสมอในปี 2568 ก็คือ “การเลือกลงทุน” เนื่องจากเป็นปีแห่งการเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) ดังนั้น การเติบโตของกำไรตลาดดังเช่นในปี 2567 นั้นอาจจะไม่ได้เห็นในปีนี้
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการเมือง อย่างการมาของทรัมป์นั้น ถูกสะท้อนเข้าไปในราคาสินทรัพย์นับตั้งแต่รู้ผลการเลือกตั้ง เนื่องจากความกังวลด้านนโยบาย TRUMP 1.0 ว่าจะหวนกลับมาใน TRUMP 2.0 อีกครั้ง โดยมองว่ามีหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ทั้งเงินเฟ้อและเพดานหนี้สหรัฐที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้ภาพในอดีตนั้นอาจจะไม่ย่ำแย่เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายกังวล
แนะนำ “เลือกลงทุน” ในหุ้นกลุ่มเงินและหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก สไตล์คุณค่าของสหรัฐ เพื่อรอรับจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ที่จะมาถึง พร้อมทั้งเน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นและได้รับกระทบด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐ ต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในอดีตอย่างตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ในขณะที่ด้านตราสารหนี้นั้น แนะนำให้นักลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีอายุ (Duration) ไม่เกิน 3-5 ปี เพื่อล็อกผลตอบแทนและกระจายเสี่ยงในทองคำควบคู่กันไปด้วย
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ InnovestX กล่าวว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่ตลาดให้ผลตอบแทนดีในระดับหนึ่ง แต่สู้ปี 2567 ไม่ได้ โดยครึ่งปีแรกตลาดจะเป็นบวก แต่ครึ่งปีหลังเป็นลบมากขึ้น เพราะมีความผันผวนสูง มีความไม่แน่นอนสูง จากสงครามการค้าและเทคโนโลยี โดยทรัมป์จะเป็นตัวแปรหลักของความผันผวน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะผันผวนจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจชะลอตัวลง
โดยตลาดจะเปลี่ยนจาก Goldilocks เป็น Stagflation เน้นไปที่การเติบโตมากกว่าแนวโน้มดอกเบี้ย เน้น 4D (Defensive, Domestic, Dividend, Diversify) ชอบตลาดหุ้นสหรัฐสุด ตลาดหุ้นยุโรปมีความเสี่ยงสุด
“ภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีแรก มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังมีแนวโน้มดีและแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น แนวโน้มดอกเบี้ยยังเป็นการลดลงตามท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศของทรัมป์ ซึ่งมีการลดค่าใช้จ่ายและลดภาษีเป็นมาตรการสำคัญ แนะนำกลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็ก และหุ้นที่ได้ประโยชน์ด้านภาษีที่ลดลง ได้แก่ หุ้น HD, V, COST, WMT”
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว การท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกยังมีแนวโน้มที่ดี เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะที่สมดุล นอกจากนั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดผลจากการชะลอตัวลงของการส่งออกได้ แนะนำหุ้นขนาดใหญ่ เน้นตั้งรับในกลุ่มที่มีสัดส่วนภายในประเทศสูงในธีม 1.Value ได้แก่ AOT, BBL, CPALL 2.Dividend ได้แก่ AP, BCP, LHHOTEL 3.Laggard ได้แก่ BCH, GPSC, HMPRO และ 4.Mid-Small cap growth ได้แก่ AMATA, AU, INSET
โดยจากภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2568 ที่มีโอกาสฟื้นตัว แต่ด้วยผลตอบแทนคาดจะอยู่ในระดับปานกลาง จึงประเมิน SET Index จะปรับขึ้นไปบริเวณ 1,550-1,600 จุด โดยมีแนวรับหลักที่บริเวณ 1,350 จุด หรือมีอัพไซด์ราว 7-10%