
สรรพากรเผย พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม กระทบบริษัทข้ามชาติ 1,200 กลุ่มบริษัท คาดเก็บรายได้ปีละ 1.2 หมื่นล้านบาท มีรายได้ภาษีเข้าครั้งแรกเดือน มิ.ย. 2570
นายภาณุวัฒน์ เหลืองวิไล รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ตามที่พระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 หรือการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก Global Minimum Tax ในอัตราที่กำหนด 15% จากบริษัทข้ามชาติ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 67 โดยจะมีผลใช้บังคับแก่นิติบุคคลข้ามชาติ (Multinational Enterprises : MNEs) ขนาดใหญ่ที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโร 2.6 หมื่นล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 68 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 จะทำให้ประเทศไทยไม่ถูกกัดกร่อนฐานภาษีและ
โอนกำไร (Base Erosion and Profit Shifting : BEPS) และจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถรักษาสิทธิการจัดเก็บภาษีในฐานะประเทศแหล่งเงินได้ โดยคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 12,000 ล้านบาทต่อปี โดยหากใช้บังคับในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2568 จะมีรายได้เข้ามาครั้งแรกประมาณเดือน มิ.ย. 2570
ซึ่งจากผลการจัดเก็บภาษีดังกล่าว จะมีผู้ได้รับผลกระทบในไทย : Thai MNE ประมาณ 100 กลุ่มบริษัท และ Foreign MNE ประมาณ 1,100 กลุ่มบริษัท ส่วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นั้น ที่ผ่านมากรมสรรพากรทำงานร่วมกับ BOI โดยมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน สรรพากรมีหน้าที่ในการเก็บภาษี ในขณะที่ BOI มีหน้าที่ในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ทั้ง 2 หน่วยงานทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการลงทุนและการจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 มีรายละเอียดดังนี้
1.กำหนดให้กลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในไทย ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลข้ามชาติของไทยที่ลงทุนในต่างประเทศหรือกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติของต่างประเทศที่ลงทุนในไทย ที่มีรายได้ตามงบการเงินรวมของบริษัทแม่ลำดับสูงสุดไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโรอย่างน้อย 2 ใน 4 รอบบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีที่พิจารณาหน้าที่การเสียภาษีส่วนเพิ่ม ต้องเสียภาษีในอัตราที่แท้จริง 15% โดยมีผลใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 68
2.กำหนดให้มีวิธีการจัดเก็บภาษี 3 รูปแบบ ตาม Model Globe Rules ได้แก่
- ภาษีส่วนเพิ่มภายในประเทศซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ (Qualified Domestic Minimum Top-up Tax : QDMTT)
- กฎการรวมเงินได้ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ (Income Inclusion Rule : IIR)
- กฎการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ (Undertaxed Payments Rule : UTPR)
นายภาณุวัฒน์กล่าวต่อว่า พ.ร.ก.ดังกล่าว เป็นผลจากการที่ประชุม OECD/G20 Inclusive Framework on BEPS เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 64 ซึ่งมีกว่า 140 เขตเศรษฐกิจรวมถึงประเทศไทย ในแนวทางการจัดการความท้าทายทางภาษีที่เกิดจากเศรษฐกิจดิจิทัล (Two-Pillar Solution to Address the Tax Challenges Arising from the Digitalisation of the Economy)
มีมติเห็นชอบแนวทาง Two-Pillar Solution โดยแบ่งเป็น
- Pillar 1 เป็นการจัดสรรสิทธิการจัดเก็บภาษีให้แก่ประเทศที่กลุ่ม MNEs มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่
- Pillar 2 หรือ Global Minimum Tax เป็นการกำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำของกลุ่ม MNEs ที่ 15%
ทั้งนี้ Pillar 2 เป็นกลไกเพื่อลดปัญหาการแข่งขันกันให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Race to the Bottom) ทำให้กลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติ (MNEs) ถ่ายโอนกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ แต่ไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศนั้น อันกระทบความยั่งยืนทางการคลังของประเทศต่าง ๆ