
บิ๊กธุรกิจ-นายแบงก์-นักเศรษฐศาสตร์ถอดรหัสนโยบายทรัมป์ 2.0 เขย่าโลก หลังสาบานตนรับตำแหน่ง ตีระฆัง “เทรดวอร์-เทควอร์” รอบใหม่ ดร.สันติธารชี้เพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก “ขาลง” แรงกระแทกการค้ารุนแรง กระทบไทยทั้งทางตรง-ทางอ้อม ดร.ศุภวุฒิเผย Paradigm shift โลกเปลี่ยน-เพิ่มความแตกแยก “ชาติศิริ-BBL” หวั่นซัพพลายเชนโลกเปลี่ยนสะเทือนไทย ส.อ.ท.ตั้งทีมรับมือสะเทือน 30 อุตสาหกรรมของไทย กังวลค่าเงินผันผวนหนัก-ทิศทางดอกเบี้ยเปลี่ยน สภาพัฒน์เตือนไทยต้องมีกลไกรับมือบริษัทจีนแปลงร่างหนีสงครามการค้า สั่งทูตพาณิชย์ทั่วโลกเกาะติด-รับมือเข้มข้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 20 มกราคม 2568 ซึ่งมีการระบุว่าในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์จะมีการเซ็นคำสั่งถึง 100 ฉบับ และจากนโยบายที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเพื่อกีดกันการค้า ได้สร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจและตลาดเงินตลาดทุนอย่างมาก
“สันติธาร” ศก.โลกเสี่ยงขาลง
ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจในปี 2568 คือ สหรัฐ ที่ได้นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ทำให้เป็นจุดที่เพิ่มความเสี่ยงด้าน “ขาลง” ให้กับเศรษฐกิจโลก
โดยมี 3 ประเด็นที่สร้างความผันผวนและคนยังไม่ตกผลึก คือ 1.คนมองว่าทรัมป์ เป็น Policy Maker แต่จริง ๆ แล้ว ทรัมป์เป็น Deal Maker โดยธรรมชาติ ไม่ใช่ Policy Maker ดังนั้นการทำนโยบายของทรัมป์ คือจะประกาศไปก่อนเพื่อเจรจา
“ตนมองว่าปีแรกของทรัมป์ คือ ปีนี้จะเป็นข่าวร้าย เพราะคนที่เป็น Deal Maker ปีแรกจะทุบโต๊ะเพื่อขอราคาที่มากที่สุด ดังนั้น ปีนี้จะเป็นปีที่หนักที่สุด ในเรื่องการตั้งกำแพงภาษี สงครามการค้าต่าง ๆ”
2.เทียบทรัมป์สมัยแรกกับทรัมป์สองจะมีความแตกต่าง คือเป็นเทอมสุดท้ายของทรัมป์ ดังนั้นหากจะไว้ลายอะไร ก็ต้องทำตอนนี้ และรอบนี้ครองคะแนนเสียงทั้งสภาล่างและสภาบน ทำให้การดำเนินนโยบายสามารถทำได้ง่าย
นโยบายย้อนแย้ง-ผันผวน
3.ความย้อนแย้งของนโยบายทรัมป์ จะทำให้ตลาดผันผวนมาก ทั้งการเจรจาที่อาจกลับไปกลับมา หรือค่าเงินดอลลาร์ ที่ทรัมป์มักพูดว่า อยากทำให้ดอลลาร์อ่อน เพื่อให้ส่งออกได้มาก แต่นโยบายที่ออกมา กลับเป็นนโยบายที่ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าเกือบทั้งสิ้น
ดร.สันติธารกล่าวว่า 3 ประเด็นนี้สร้างความผันผวนเยอะมาก และมีผลกระทบทางอ้อมที่จะมากระทบไทยเยอะมาก แม้ว่าสุดท้ายทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีแค่กับจีน แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ผลทางอ้อม สินค้าจีนที่ขายในสหรัฐไม่ได้ก็จะทะลักมาตลาดไทยมากขึ้น และไปดัมพ์ในตลาดอื่น ๆ ที่แข่งกับไทย ตรงนี้จะหนักขึ้น และดีไม่ดีผลทางอ้อมจะหนักกว่าผลทางตรง
“แม้ระยะยาวจะมีประเด็นการย้ายฐานลงทุนซึ่งอาจเป็นประโยชน์กับไทยได้ แต่ระยะสั้นปีนี้จะเป็นจุดแย่ ผมคิดว่าจะเหมือน J Curve ที่จะดิ่งลงไปจุดแย่ก่อน แล้วค่อยกลับมาดีขึ้นในอนาคต ปีนี้จะเป็นปีที่แรงกระแทกจะแรงที่สุด”
สำหรับเศรษฐกิจไทย ดร.สันติธารกล่าวว่า ตอนนี้ยากตรงที่มีความเสี่ยงขาลงค่อนข้างมากจากประเด็นสหรัฐ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาตรการมาอย่างไร แค่ไหน โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้ก็คงออกมาโตได้ 2% ปลาย ๆ ซึ่งยังไม่รวมเอฟเฟ็กต์จากนโยบายสหรัฐ หากจัดเต็มก็จะยิ่งกระทบมาก
กระบวนทัศน์โลกเปลี่ยน
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามปีนี้ก็คือนโยบายของทรัมป์ ทุกนโยบายที่เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อทั้งสิ้น เช่น นโยบายการขึ้นภาษีศุลกากร การควบคุมการเข้าเมือง และการลดภาษีให้กับคนรวย เป็นต้น โดยหลังวันที่ 20 ม.ค. 2568 ที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง
สิ่งที่สำคัญมากที่จะเกิดขึ้น คือ “Paradigm Shift” หรือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของสหรัฐ และของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เกิดความแตกแยกของโลก มีความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายหลังจากนี้
ปัจจุบันตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ลดดอกเบี้ยมากเท่าที่เคยคาดไว้ถึง 4 ครั้ง โดยปี 2568 อาจจะไม่มีการลดดอกเบี้ยเลย เนื่องจากปัจจุบันปัจจัยพื้นฐานของสหรัฐดีกว่าที่คาด ทั้งด้านจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานที่ลดลง ขณะที่
เงินเฟ้อยังอยู่ที่ประมาณ 2%
“ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกโตช้าลงไปเรื่อย ๆ โดยประเทศพัฒนาแล้วการขยายตัวของจีดีพีลดลงเรื่อย ๆ มีสาเหตุหลายอย่าง ทั้งที่มีการค้าเสรี การลงทุนเสรี มีโลกาภิวัตน์”
ใส่ความเสี่ยงทรัมป์
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มองว่าจะขยายตัว 2.3-3.3% มีค่ากลาง 2.8% โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการลงทุนภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งในปี 2567 มีผู้ที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กว่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ราว 8.3-8.4 แสนล้านบาท โดยจะเร่งให้เกิดการลงทุนจริง เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะเป็นตัวหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ต่อไป
อย่างไรก็ดี จะต้องจับตาดูการเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20 มกราคมนี้ ซึ่งจะต้องใส่ไปในปัจจัยเสี่ยง (Take into Account) โดยผลกระทบจะต้องดูรายละเอียดของนโยบาย ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าสหรัฐขึ้นภาษีจีนเท่าไร
แต่หากขึ้นสินค้าที่เข้าสหรัฐมีชิ้นส่วนของจีน จะเป็นเรื่องโกลาหลพอสมควร รวมถึงต้องดูระยะเวลาและช่วงเวลาของการดำเนินนโยบายจะออกมาอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีนโยบายอพยพแรงงาน และการลดภาษีเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ
ทั้งนี้ นโยบาย 3 เรื่อง แม้ว่าการขึ้นภาษีทั้งจีนหรือไม่ว่าประเทศใดจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ทำให้สหรัฐจะใช้ของแพงขึ้น ซึ่งหมายถึงต้นทุนของสหรัฐเพิ่มขึ้น เป็นนโยบายที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ดังนั้น นโยบายดอกเบี้ยที่เหมือนจะปรับลดลง อาจจะไม่ปรับลดลงได้ และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะเห็นว่าทรัมป์ไม่เอาเลย อย่างไรก็ดี ในวันที่ 20 มกราคมนี้จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น
รับมือบริษัทจีนแปลงร่าง
นายดนุชากล่าวว่า ประเทศไทยจะต้องมีกลไกที่จะทำให้ไทยเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามา เพื่อหลีกเลี่ยงการกีดกันทางการค้า เนื่องจากในจำนวน FDI ที่ 8 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสิงคโปร์ที่แปลงร่างจากจีน ดังนั้น ต้องทำให้เป็นบริษัทไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือร่วมทุน ขณะเดียวกัน ไทยจะต้องพยายามเป็นประเทศเป็นกลางของสงครามการค้า
“ตอนนี้ข้อมูลเราพร้อมแล้ว ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี’68 ประเทศไทยเหมือนขี่พายุ แต่เราจะเห็น Head Wind เยอะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้แน่นอน เราจะต้องบริหารให้ดี โดยเฉพาะผู้ส่งออก เนื่องจากเราได้ดุลการค้ากับสหรัฐเป็นอันดับ 12 แม้ไม่เท่ากับจีนหรือเวียดนาม
แต่ไทยอยู่ในจุดความเสี่ยงที่จะโดนกีดกันทางการค้า แต่เราต้องดูว่าทรัมป์จะออกมาตรการแบบจัดการทีเดียว หรือออกมาตรการทุบก่อนแล้วเรียกเจรจา ซึ่งเราและกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมไว้หลายสมมติฐานกระทบอย่างไร”
BBL ห่วงชัพพลายเชนโลก
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ต้องติดตามนโยบายของสหรัฐ ที่จะมีต่อโกลบอลซัพพลายเชนว่าจะมีทิศทางอย่างไรต่อไป และต้องเตรียมรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนโยบายของทรัมป์ให้ความสำคัญการค้าแบบ “American First”
ด้วยการนำการผลิตกลับสู่สหรัฐ และเพิ่มภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นโดยเฉพาะสินค้าจากจีน เพื่อกีดกันทางการค้ามากขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่ออาเซียน และห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงไทยด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มเห็นการย้ายฐานการผลิตและลดการเชื่อมโยงกับโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) เร่งตัวขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สำหรับในแง่ของการแนะนำลูกค้า หัวใจสำคัญที่สุด คือ การสนับสนุนให้ลูกค้าเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม และสอดคล้องกับเรื่องสีเขียว (Green) และมีความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดได้
ตีระฆัง “เทรดวอร์-เทควอร์”
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า วันที่ 20 มกราคม 2568 เป็นวันที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ก็จะเป็นวัน “ตีระฆัง” ของ “สงครามการค้า” และ “Tech War” รอบใหม่ ซึ่งไทยต้องเตรียมตัวรับข้อขัดแย้งโลก และต้องติดตามต่อไปว่าหากมีการตอบโต้ระหว่างกันจะเกิดอะไรขึ้น
“ความเสี่ยงของเศรษฐกิจในระยะสั้น คือ การเข้ามาของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะนำความท้าทายมาให้ในเรื่องของสงครามการค้า และสงครามเทคโนโลยี ซึ่งเบื้องต้นทรัมป์จะมีคำสั่งอย่างน้อย 100 คำสั่ง เกิดขึ้นในวันที่เข้ารับตำแหน่ง”
เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐกำลังแพ้ในเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว โดยที่ผ่านมามีรายงานระบุว่า ในเทคโนโลยีสำคัญ ๆ 44 แขนง ตอนนี้จีนเป็นผู้ชนะไปแล้ว 37 แขนง อย่างไรก็ดี ในวิกฤตจะมีโอกาสอยู่ข้างใน เมื่อทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจีน ในอนาคตราคาสินค้าจีนจะสูงขึ้น ต้องดูว่าจะทำให้สินค้าในอาเซียนรวมถึงไทยจะเป็นอย่างไร และการย้ายฐานผลิตก็เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ไทยต้องเตรียมรับมือ
SCB ประกบ “ลูกค้า” กลุ่มเสี่ยง
ขณะที่นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การเข้ามารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับว่าจะมีความไม่แน่นอนมากขึ้นจากเดิมที่มีปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งสร้างความกังวลเป็นวงกว้าง ถือเป็นปัจจัยที่มีความท้าทายและต้องติดตามใกล้ชิดในปีนี้
อย่างไรก็ดี นโยบายทรัมป์จะเน้นดึงการลงทุนกลับเข้าสหรัฐ ซึ่งไทยจะต้องปรับตัวรองรับบางส่วนที่จะกลับไป และขั้วประเทศที่ไม่ใช่สหรัฐกลับมาที่ประเทศไทยด้วย
ในส่วนของธนาคารต้องยอมรับว่ามีลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานที่เปลี่ยนไป หรือนโยบายภาษี ทั้งที่กระทบมาก กระทบน้อย หรือไม่กระทบเลย หากเป็นกลุ่มที่กระทบมาก ธนาคารจำเป็นต้องกระตุ้นให้ลูกค้าเห็นถึงความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดขึ้น ทั้งแนะนำการปรับตัว ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอียังทรานส์ฟอร์มองค์กรไม่มากนัก ก็จะเป็นจุดเสี่ยง
ขณะเดียวกัน การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งในเชิงนโยบายจะต้องไม่อยู่ฝ่ายไหน พร้อมสนับสนุนทุกฝ่าย ดังนั้นการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะรักษาสมดุล เพราะหากไม่มีการสื่อสารที่ชัดเจนจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในประเด็นการเลือกข้างได้
“เรื่องสงครามการค้าทั้ง 2 ฝ่าย บ้านเราจะต้องหาจุดสมดุลให้ดี หากทำพร้อมกันทั้งระบบและเกิดผลสัมฤทธิ์ จะช่วยสร้างความพร้อมให้กับประเทศด้วย”
ผวากระทบ 30 อุตสาหกรรม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาคเอกชนพร้อมติดตามดูนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ที่มองว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการค้า การลงทุน ที่มีความต่างจากนายโจ ไบเดน เป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะการเกิดสงครามการค้าที่รุนแรง และประเทศที่จะได้รับผลกระทบนอกจากจีน ที่สหรัฐมีเป้าหมายจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 60-100% ก็คือ เม็กซิโกและประเทศไทยที่จะถูกขึ้นภาษี 10-20% ในฐานะประเทศคู่ค้าที่เกินดุลกับสหรัฐ
ดังนั้น ภาคเอกชนมีการติดตามนโยบาย ทรัมป์ 2.0 อย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ ส.อ.ท.ได้มีการตั้งทีมงาน เพื่อเตรียมรับมือผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพราะมีโอกาสว่าการประกาศนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมถึง 30 กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ โซลาเซลล์ เป็นต้น
“เชื่อว่าทรัมป์จะทำตามที่พูดจริง แต่จะทำข้อไหนบ้างก็ต้องมาดูกันหลังขึ้นตำแหน่ง เพราะที่ผ่านมาทรัมป์ก็ทำจริง บอกจะตอบโต้จีนเขาก็ทำ จนเกิดสงครามการค้าขึ้นครั้งแรก ตอนนั้นไทยก็ได้อานิสงส์เรื่องย้ายฐานผลิต แต่ตอนนี้ไทยเกินดุลสหรัฐมากขึ้นจนมาอยู่อันดับ 9 ภายในไม่กี่ปี โดยสิ่งที่เราต้องทำคือรับมือ ต้องปรับตัว พร้อมกับต้องสกัดสินค้าที่จะทะลักเข้ามาด้วย”
ด้านการลงทุน ทรัมป์มีนโยบายที่จะดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศ เพื่อให้เกิดการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยมีมาตรการจูงใจด้วยการลดภาษีนิติบุคคลจากเดิม 21% เป็น 15% จึงเป็นที่น่าจับตาว่านักลงทุนที่ไปขอส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยอาจจะถูกเจรจาต่อรอง ดึงกลับไปลงทุนในสหรัฐเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี นโยบายของนายทรัมป์ยังมีความย้อนแย้งในหลายประเด็น เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ขณะที่สหรัฐยังเป็นประเทศผู้นำเข้า ดังนั้นหากมีการขึ้นภาษีก็ย่อมส่งผลต่อราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมไปถึงภาวะเงินเฟ้อได้ หรือแม้กระทั่งเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่ทรัมป์ไม่ให้ความสนใจ แต่ผู้สนับสนุนกลับให้ความสำคัญในเรื่องนี้
ค่าเงินผันผวน-ดบ.ไม่ลด
นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาคเอกชนให้ความเป็นห่วงมากต่อผลกระทบนโยบาย ทรัมป์ 2.0 เพราะไม่รู้ว่าจะมาเร็วและแรงแค่ไหน แต่ขณะนี้เริ่มมีการส่งสัญญาณออกมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะเรื่องนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ โดยเฉพาะจีนที่มีแนวโน้มจะขึ้นภาษีสินค้าในหลายรายการ ในขณะที่จีนเองก็อยู่ระหว่างการเตรียมแผนตั้งรับ เชื่อว่าจีนก็คงไม่อยู่เฉย พร้อมที่จะมีมาตรการออกมาตอบโต้ รวมไปถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และเปิดตลาดใหม่ของจีน
“การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ จะสะท้อนทำให้ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น มีโอกาสกระทบเงินเฟ้อ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด มีสัญญาณว่าอาจจะไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์ โดยจะมีผลทำให้ค่าเงินในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยอ่อนค่าขึ้น ซึ่งที่ประชุม กกร.ได้ประเมินกรอบเงินบาทไว้อยู่ที่ 34-36 บาทต่อเหรียญสหรัฐภายในปีนี้”
ธุรกิจกังวลต้นทุนสินค้าพุ่ง
นายเกษมสิทธิ์กล่าวว่า ค่าเงินบาทมีความผันผวนมาก ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้กระทบต่อศักยภาพการแข่งขันของไทยมากเกินไป รวมไปถึงแนวโน้มเรื่องราคาพลังงานที่จะปรับตัวสูงขึ้น ล้วนจะเป็นผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า และค่าขนส่ง
ทั้งนี้ ภาครัฐควรเตรียมแผนรับมือเพื่อรองรับผลกระทบจากนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ที่จะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการไหลเข้ามาของสินค้าจีนเพิ่มมากขึ้น พร้อมกันนี้ ภาครัฐและเอกชนควรจับมือกันทำงานเชิงรุก เป็นทีมไทยแลนด์ เพื่อสร้างโอกาสในการเจรจาต่อรองเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์พยากรณ์ได้มีการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจถึงนโยบาย ทรัมป์ 2.0
รวมถึงกรณีที่สหรัฐแซงก์ชั่นรัสเซีย ซึ่งจะมีผลต่อราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซที่อาจสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าทั่วโลกเป็นอย่างมาก
สั่งเข้มทูตพาณิชย์ทั่วโลก
ด้านนางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 20 มกราคม 2568 กรมได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ทั้ง 58 แห่งทั่วโลก ติดตามมาตรการหรือกฎระเบียบที่สหรัฐจะออกมาเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ทูตพาณิชย์จะต้องทำงานอย่างเข้มข้น หากมีประเด็นหรือผลกระทบ จะต้องเร่งประสานเพื่อร่วมกันหามาตรการแก้ไข รวมถึงแผนรับมือ การหาตลาดใหม่เพื่อผลักดันการส่งออกสินค้าไทย
“นโยบายทรัมป์ 2.0 ไม่รู้ว่าจะรุนแรงแค่ไหน แต่ทั้งผู้ประกอบการไทย และภาครัฐได้เตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว และเชื่อว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส กรมได้คุยกับผู้ส่งออก หลายรายก็บอกว่า ผู้ซื้อประเทศต่าง ๆ หันมานำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงด้านขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทยที่ลดลง”
นอกจากนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีแผนจัดคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ (Goodwill Mission) เดินสายเพื่อเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์ เปิดโอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทย อาทิ สหรัฐ-ชิคาโกและนิวยอร์ก (2-10 ก.พ.) สวิตเซอร์แลนด์-เจนีวา (15-20 ก.พ.) ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (16-21 ก.พ.) ฮ่องกง (17-19 มี.ค.) แคนาดาและนิวยอร์ก (24 มี.ค.-2 เม.ย) สำรวจเส้นทางผลไม้ เชียงของ-เวียงจันทน์-คุนหมิง (26-29 มี.ค.) และ Cannes ฝรั่งเศส (13-21 พ.ค.) เป็นต้น
ขณะเดียวกัน กรมจะนำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและบริการในต่างประเทศ อาทิ ยุโรป สหรัฐ เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และอาเซียนด้วย
กำแพงภาษีป่วนโลก
ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ความมั่นคง กล่าวว่า วันที่ 20 มกราคม เมื่อทรัมป์สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเต็มตัว ความผันผวนใหญ่จะเกิดจากเรื่องกำแพงภาษี ถ้าทรัมป์ขึ้นกำแพงภาษีในอัตรา 20% และขึ้นอัตราภาษีสินค้าจีน 60% เศรษฐกิจโลกถูกกระทบเต็ม ๆ อาจรวมถึงกระทบกับไทย เพราะบัญชีรายชื่อที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ไทยอยู่ในลำดับต้น ๆ ของเอเชีย แม้ไทยไม่ได้ดุลการค้ากับจีน แต่มีความพยายามที่คนบางกลุ่มในไทยพยายามพาไทยไปใกล้ชิดกับจีน
“สิ่งที่พูดกันในสังคมไทย เมื่อจีนเจอกำแพงภาษี 60% บางรายอาจถึง 100% จะทำให้จีนย้ายฐานผลิตมาไทยแล้วส่งออก โดยอาศัยไทยเป็นนอมินีทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลทรัมป์ไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าการผลิตที่ส่งออกจากไทยนั้นเป็นการผลิตจากโรงงานของจีน ซึ่งในช่วงทรัมป์ 1 เราอาจจะพอทำได้ แต่ผมคิดว่าใน ทรัมป์ 2 ถ้ายังคิดเลื่อนลอยอย่างนี้อาจจะไม่ช่วยเรา”
สิ่งที่ต้องคิดใหญ่ก็คือการปรับตัวทางเศรษฐกิจ เพราะถ้า 4 ปีของทรัมป์จากปี 2025-2028 กำแพงภาษีเป็นสถานการณ์หลักในเวทีโลก มีนัยโดยตรงถึงความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลก แปลว่าการตั้งหลักทางเศรษฐกิจไทย จะตั้งหลักด้วยวิธีอะไรต้องเริ่มคิดกันจริง ๆ