ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า หลังจากตัวเลขยอดค้าปลีกต่ำกว่าคาด

dollar

ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า หลังจากตัวเลขยอดค้าปลีกต่ำกว่าคาด

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 13-17 มกราคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (13/1) ที่ระดับ 34.74/75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (10/1) ที่ระดับ 34.61/62 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ภายหลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตลาดแรงงาน

โดยในวันศุกร์ที่ผ่านมา (10/1) กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 256,000 ตำแหน่งในเดือน ธ.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 154,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 212,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ย. ทั้งนี้ ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 223,000 ตำแหน่งในเดือน ธ.ค. ขณะที่ภาครัฐมีการจ้างงาน 33,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐได้ปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือน พ.ย. เป็นเพิ่มขึ้น 212,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 227,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.1% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 4.2% ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 4.0% และเมื่อเทียบรายเดือน ค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.3% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 73.2 ในเดือน ม.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 74.0 จากระดับ 74.0 ในเดือน ธ.ค. ทั้งนี้ในคืนวันอังคาร (14/1) กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิตปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.5% หลังจากปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือน พ.ย.

ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.8% หลังจากปรับตัวขึ้น 3.5% ในเดือน พ.ย. นอกจากนี้ในคืนวันพุธ (15/1) กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.2% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.3% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือน พ.ย.

ADVERTISMENT

ส่วนดัชนี CPI ทั่วไปซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงานปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือน พ.ย. ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอตัวลง และสอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังพบเจอเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในพื้นที่ลอสแองเจลิส มหันตภัยครั้งนี้นับเป็นภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่สร้างความเสียหายมากที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา โดยมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.6 ล้านล้านบาท)

ADVERTISMENT

โดยนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ให้ความเห็นว่าการเติบโตในไตรมาสแรกจะชะลอตัวลง 0.2% โดยถือว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูประเทศไม่สามารถทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งการเติบโตของการจ้างงานสหรัฐ ในเดือน ม.ค. มีแนวโน้มลดลง 15,000-25,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นตัวเลขฉุดรั้งเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น 256,000 ตำแหน่งในเดือน ธ.ค. ปีก่อนหน้า ซึ่งมาจากการสั่งการให้ชาวแคลิฟอร์เนียประมาณ 0.5% ต้องอพยพ

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือน พ.ย. จากตัวเลขที่ออกมา ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจจะปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ที่เดือนกันยายน นักลงทุนเปลี่ยนคาดการณ์เป็นเดือนมิถุนายน ค่าเงินดอลลาร์จึงอ่อนค่าเทียบกับสกุลอื่น

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตได้อย่างน้อย 3% แต่รัฐบาลไม่ได้วางโจทย์ไว้แค่ระดับดังกล่าว เพราะต้องการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจก้าวหน้า เนื่องจากมองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยแก้ปัญหาในหลายจุด โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวที่อยู่ในระดับสูง อาทิ หนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน เป็นต้น ดังนั้น ในปีนี้จะต้องเร่งดำเนินการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบด้วย การเร่งกระตุ้นการลงทุน กระตุ้นการบริโภค ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้

นอกจากนี้ ในวันพุธ (15/1) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดถึงการตั้งเป้าหมายของรัฐบาล ที่ต้องการจะผลักดันเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้ขยายตัวได้ 4% ส่วนปี 2569 เพิ่มขึ้นเป็น 5% ว่ารัฐบาลตั้งเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตได้เกิน 3% เพื่อเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยในปี 2569 สามารถขยายตัวได้ที่ระดับ 4-5% หากนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการ เห็นผลชัดเจนทั้งหมด

นอกจากนี้ ในวันพฤหัสบดี (16/1) ยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ในปี 2568 การส่งออกยังคงเป็นเครื่องจักรสำคัญหลักในการผลักดันเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการแบ่งขั้วทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ ปริมาณการค้าที่ขยายตัวลดลงจากการใช้นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวน ทั้งนี้ในช่วงระหว่างสัปดาห์นี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 34.42-34.84 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (17/1) ที่ระดับ 34.42/43 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (13/1) ที่ระดับ 1.0241/42 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (10/1) ที่ระดับ 1.0298/99 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ซึ่งถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ อีกทั้งฟิลิป เลน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวในบทสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ออสเตรีย ในวันจันทร์ (13/1) ว่า ECB พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในปีนี้ แต่ต้องค้นหาทางสายกลางที่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือทำให้การควบคุมเงินเฟ้อต้องล่าช้าออกไป

โดยในปีที่ผ่านมา ECB ปรับลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง และตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดอีก 4 ครั้งในปีนี้ โดยส่วนใหญ่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลงมาอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2% ของ ECB ราวกลางปี 2568 ซึ่งเงื่อนไขสำคัญในการควบคุมการขยายตัวของราคาสินค้าคือ การที่เงินเฟ้อในภารบริการต้องลดลง ซึ่งยังคงทรงตัวอยู่ที่ราว 4% ตลอดปี 2567 อย่างไรก็ตามการเติบโตของค่าจ้างคาดว่าจะลดลง “อย่างมีนัยสำคัญ” ในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้เงินเฟ้อปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.4% แม้เศรษฐกิจจะเติบโตในระดับเพียงเหนือ 0% มาตลอดปีที่แล้ว

นอกจากนี้ ในวันพุธ (15/1) อามิลี เดอ มองต์ชาแลง รัฐมนตรีฝ่ายงบประมาณและบัญชีสาธารณะของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า รัฐบาลตั้งเป้าควบคุมอัตราเงินเฟ้อปีนี้ไว้ที่ 1.4% มองต์ชาแลงให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ TF1 ว่า รัฐบาลตั้งเป้าจะผลักดันให้ร่างงบประมาณปี 2568 ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ได้ภายในสิ้นเดือน ม.ค.นี้

และสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า เมื่อวันอังคาร (14/1) ฟรองซัวส์ บายรู นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ได้กล่าวปราศรัยต่อรัฐสภา ส่งสัญญาณพร้อมเจรจาปรับปรุงการปฏิรูประบบบำนาญที่ยังเป็นประเด็นขัดแย้ง เพื่อโน้มน้าวให้ ส.ส.ฝ่ายซ้าย ซึ่งเป็นเสียงสำคัญสนับสนุนร่างงบประมาณปี 2568 สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของฝรั่งเศส ข้อมูลเบื้องต้นจากสำนักงานสถิติแห่งชาติฝรั่งเศส (INSEE) ระบุว่า อยู่ที่ 1.3% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทรงตัวจากระดับเดือน พ.ย. พร้อมวางแผนปรับลดงบประมาณรายจ่ายภาครัฐในปี 2568 ลง 3 หมื่นล้าน ถึง 3.2 หมื่นล้านยูโร

โดยในช่วงระหว่างสัปดาห์นี้ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0176-10354 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (17/1) ที่ระดับ 1.0302/03 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ (13/1) ที่ระดับ 157.44/45 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (10/1) ที่ระดับ 157.93/94 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ เรียวโซ อิมิโนะ รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวกับบรรดาผู้นำธุรกิจในงานเสวนาที่เมืองโยโกฮามา ในวันอังคาร (14/1) ว่ากรรมการ BOJ จะหารือกันว่าควรจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ในการประชุมนโยบายการเงินสัปดาห์หน้า

โดยจะพิจารณาจากรายงานคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อรายไตรมาส โดยระบุว่า ผลการสำรวจและรายงานต่าง ๆ จาก BOJ สาขาภูมิภาคทำให้เกิดความหวังว่าการเติบโตของค่าจ้างจะยังคงแข็งแกร่งในปีนี้

นอกจากนี้ ในวันพุธ (15/01) นายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น กล่าวว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับระดับการสนับสนุนทางการเงิน หากภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุเอดะกล่าวในการประชุมของ BOJ ระดับภูมิภาคซึ่งจัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ ชุดใหม่และแรงผลักดันในการเจรจาด้านค่าจ้างในญี่ปุ่นในปีนี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

โดยอุเอดะกล่าวว่า มีการพูดคุยเกี่ยวกับแนวโน้มค่าจ้าง และมีการหารือกันว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ในการประชุมนโยบายสัปดาห์หน้า (24/1) ทั้งนี้ ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 156.22-154.96 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (17/1) ที่ระดับ 155.40/44 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ